Storm in the Wilderness ขุนศึกสยบสวรรค์ – บทที่ 326 หน้าไม้เหินเวหา
บทที่ 326 หน้าไม้เหินเวหา
“คนโง่ เจ้าจ่าข้าไม่ได้หรอก?!”
แขกไม่ได้รับเชิญคืบฝีเท้าเข้าใกล้เขามากขึ้น ทว่าส้มเสียงที่เปล่งออกมาจากอีกฝ่ายกลับทําให้เยี่ยฉวนผ่อนคลายความตึงเครียดลง
แจ่อเซีย นั่นเจ้าเอง?!”
น้ําเสียงของเยี่ยฉวนเปี่ยมไปด้วยความปิติยินดีด้วยไม่คาดคิดว่าจะได้พบนางที่นี่ เขาก้าวไปด้านหน้า ก่อนสวมกอดนางไว้ในอ้อมแขนพร้อมสูดกลิ่นหอมที่คุ้นเคยเข้าไปจนเต็มปอด ครั้นถอดหมวกไม่ไผ่ใบใหญ่ที่นางสวมอยู่ออกโครงหน้างดงามไร้มลทินจึงเผยให้ประจักษ์ต่อสายตา ครั้งที่แล้วนางอาศัยความมืดมิดยามราตรีลอบเข้ามาในสานักหมอกเมฆาเพื่อพบเขา ทว่าครั้งนี้เนื่องจากมาตรการป้องกันสํานักที่เข้มงวด นางจึงใช้วิธีปลอมตัวเป็นศิษย์หญิงคนหนึ่งของสํานักหมอกเมฆาและบังเอิญพบพานกับเยี่ยฉวนที่เพิ่งออกจากสมาธิฝึกตนอย่างสันโดษพอดี
แม้ชายหนุ่มกอดรัดร่างนางไว้แน่นจนหายใจไม่ออก แต่หงจือเซียกลับไม่ดิ้นรนขัดขึ้นทั้งยังกอดตอบอีกฝ่ายไว้แน่นเช่นกัน หลังพบหน้าเขา เรือนร่างของนางภายใต้เสื้อคลุมโปร่งหลวมพลันเพิ่มอุณหภูมิขึ้นจนร้อนจัดจนไม่สามารถควบคุมไฟสวาทที่ปะทุขึ้นในจิตใจได้
ทั้งคู่ต่างบรรลุเคล็ดวิชาลับในคัมภีร์มังกรเกี่ยวกับการผสานการฝึกตนแล้ว เคล็ดวิชาดังกล่าวเป็นเคล็ดวิชาที่ดีที่สุดอันเป็นมรดกเก่าแก่จากโลกเหนือแดนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังผันผ่านการฝึกตนร่วมกันหลายครั้งและผสานจิตวิญญาณรวมเป็นหนึ่งทําให้แรงปรารถนาใต้กันึ่งของจิตใจ นางทวีขึ้นอย่างรุนแรง ต่อหน้าผู้คนทั้งโลกนางมักวางตัวสูงส่งเหนือผู้ใดอยู่เป็นนิจ กิริยามารยาทต่างๆ หรือก็งดงามประณีตและเย็นชาเป็นที่ยิ่ง ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยฉวนเพียงสองต่อสองแล้ว นางไม่ต่างอันใดไปจากสตรีผู้ร้อนแรงและเจนโลก
เยี่ยฉวนบดจุมพิตหยอกเย้าริมฝีปากของหญิงสาวพลางประคองใบหน้างดงามไว้ในอุ้งมืออบอุ่น จากนั้นจึงผละออกก่อนกล่าวคําเบาด้วยรอยยิ้มหวานฉ่า “ว่าอย่างไร? จื่อเซีย เจ้าทนคิดถึงข้าไม่ไหวเพียงนี้เชียวรึ?!”
“เชอะ ใครกันไม่อาจอดทนได้?!”
ใบหน้าหงจอเซียแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงกําด้วยความเขินอาย ทว่ากลับแสร้งทําทียึดฮัดราวโกรธเคืองตามมารยาหญิง ครั้นนางจะกล่าวคําใดต่อไปกลับสัมผัสถึงบางสิ่งที่ใกล้เข้ามา หญิงสาวผลักร่างของเยี่ยฉวนออกห่างจากตัวโดยเร็วจากนั้นจึงหยิบหมวกไม่ไผ่ใบเดิมขึ้นสวมก่อนกล่าวด้วยท่าทางเคารพ “ศิษย์พี่ใหญ่ นี่คือยาเม็ดจินชวงที่สํานักเพิ่งกลั่นเสร็จสิ้น ขอท่านช่วยตรวจสอบผลกระทบข้างเคียงจากมันได้หรือไม่ ศิษย์พี่หญิงเจียเจี้ยกล่าวว่าหาก…”
ศิษย์ร่วมสํานักซึ่งเป็นหน่วยลาดตระเวนเดินผ่านมายังจุดที่ทั้งสองยืนอยู่ ครั้นเห็นศิษย์พี่ใหญ่ เยี่ยฉวนจึงโค้งคํานับตามธรรมเนียมก่อนเดินจากไปโดยไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ เมื่อมองปราดเดียวหงจอเซียที่อาศัยการพรางตัวนั้นดูไม่แตกต่างไปจากศิษย์หญิงร่วมสํานักคนอื่นๆ ทั้งยังไม่มีใครคาดคิดว่าสตรีพรหมจรรย์หงจือเซียแห่งสานักอสูรเมฆาจะปลอมตัวเข้าพบเยี่ยฉวนเช่นนี้ได้
“อืม… พวกมันคือยาเม็ดจินชวงที่มีลักษณะไม่เลว ข้าเพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บ ตามข้ามา เพื่อตรวจสอบผลข้างเคียงจากมันเถิด”
เยี่ยฉวนสวมบทบาทตามน้ําไปเช่นกันขณะหันหลังกลับและมุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของหุบเขาหงจือเซียได้ยินเช่นนั้นจึงติดตามไปด้วยฝีเท้าหนักแน่นมั่นคงไม่เชื่องช้าหรือเร่งรีบ เมื่อไปถึงถ้ํามืดมิดอันเป็นจุดลับตาคนเยี่ยฉวนจึงดึงมือนาง เพื่อให้ร่างเข้ามาแนบชิด
“คนบ้า! ร่างกายแข็งแกร่งประหนึ่งหินผาของเจ้าบาดเจ็บเป็นด้วย?!”
“ข้าบาดเจ็บจริงนะ ตอนที่ข้าทําการฝึกฝนเคล็ดวิชาข้ารู้สึกหน่วงบริเวณนี้…”
“ที่ใด? ให้ข้าดูหน่อย บริเวณอกใช่หรือไม่?”
“ต่ําลงมาอีกหน่อย”
“ท้องน้อยงั้นรึ? เจ้าฝึกฝนเคล็ดวิชาใดกันแน่ร่างกายจึงบาดเจ็บบริเวณนั้น?”
“ต่ําลงกว่านั้นอีก จื่อเซีย หากเจ้าไม่ช่วยข้ารักษาเห็นทีบาดแผลตรงส่วนนั้นจึงเผยออกเสียแล้ว
“เอ่อ… คือ…”
ภายในถ้ํามืดมิดที่ดูเหมือนบรรยากาศโดยรอบจะเย็นเฉียบทว่าอุณหภูมิในร่างกายกลับสูงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเยี่ยฉวนเข้าใกล้หงจือเซียไฟร้อนรุ่มในจิตใจยิ่งโหมกระหน่ํา สองชายหญิงซึ่งเปี่ยมไปด้วยความรัก แม้แยกจากกันเพียงไม่นานกลับรู้สึกราวพรากจากนับล้านปี เมื่อพบกันครั้งนี้ ทั้งสองจึงโอบกระหวัดแนบสนิทประหนึ่งไม่ต้องการห่างไกลกันตราบชั่วฟ้าดินสลาย
หลังพายุทางอารมณ์คลายลงทั้งสองจึงกลับสู่ความสงบเงียบ หลังบ่มเพาะเคล็ดวิชาจิตวิญญาณอ่อนล้าของทั้งสองกลับกระปรี้กระเปร่าขึ้นเป็นพิเศษ อีกทั้งขั้นการฝึกตนยังเกิดความก้าวหน้าขึ้นไปอีกระดับ ซึ่งเป็นผลมาจากเคล็ดวิชาผสานการฝึกตนซึ่งมีความรวดเร็วในการพัฒนาที่ท้าทายสวรรค์ ตั้งแต่สมัยโบราณผู้ฝึกตนซึ่งเปี่ยมด้วยประสบการณ์จึงยกย่องบูชามันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คู่สามีภรรยาต่างร่วมฝึกฝนเพื่อเพลิดเพลินไปกับความหฤหรรษ์ในแดนงดงามใต้สรวงสวรรค์
ทว่าระหว่างเยี่ยฉวนและหงจือเซียนั้นแตกต่างออกไป ทั้งสองฝึกตนโดยการผสานเพียงจิตวิญญาณเท่านั้นไม่ใช่ร่างกาย ถึงแม้ขั้นตอนสําคัญที่สุดคือการทําลายปราการด่านสุดท้ายดังกล่าว แต่ทั้งสองเลือกที่จะหลีกเลี่ยง เพราะสําหรับเยี่ยฉวนแล้วเขาไม่มีสิ่งใดเสียเปรียบ ส่วนหญิงสาวที่ครองตําแหน่งเป็นถึงสตรีพรหมจรรย์ผู้สูงส่งยังต้องพบเจอกับบรรดาอาวุโสและยอดฝีมือชั้นเลิศของสํานักอสูรเมฆาอีกมากมาย หากรีบร้อนกระทําเรื่องอย่างว่าไม่แน่นางอาจเป็นที่จับตามอง เนื่องจากท่าเยื้องย่างที่ผิดแปลกไป และหากคนเหล่านั้นรู้ว่านางกระทําผิดศีลธรรมเช่นนั้นก่อน แต่งงาน คลื่นความแค้นอันน่าสะพรึงกลัวย่อมทวีความรุนแรงกว่าตอนนี้หลายเท่า เป็นที่ทราบกันดีว่าสํานักของนางเคร่งครัดเรื่องการรักษาชื่อเสียงไม่ให้เสื่อมเสียเป็นที่สุด!
“เยี่ยฉวน บัดนี้สถานการณ์สู้รบระหว่างสํานักของเจ้าและกองทัพแห่งจักรวรรดิต้าฉันช่างอันตรายนัก ดูเหมือนฝ่ายนั้นหมายเอาชนะพวกเจ้าให้จงได้ หน่วยสอดแนมบอกว่ายอดฝีมือจากพระราชวังชั้นในกําลังเดินทางมาที่นี่ พวกเจ้าจะรับมืออย่างไรไหว?” หงจือเซียนอนแนบชิดเกยอยู่บนหน้าอกเปลือยเปล่าของเยี่ยฉวน นิ้วชี้มือขวากําลังไล้วนรอบผิวหนังอีกฝ่ายเป็นวงกลมอย่างรักใคร่ นางพยายามตักตวงความสุขจากช่วงเวลานี้อย่างเต็มที่ ทว่าร่องรอยแห่งความวิตกยังแสดงออกผ่านหว่างคิ้วที่ขมวดมุ่น
การพบเจอและตกหลุมรักเขาเป็นอุบัติรักที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นที่ผ่านมานางไม่เคยคิดว่าตนจะหลงรักชายใด ยิ่งเมื่อชายผู้นั้นคือศิษย์พี่ใหญ่แห่งสํานักหมอกเมฆาผู้นี้ ครั้นอยู่ในห้วงภวังค์แห่งรักนางจึงอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงความปลอดภัยเกี่ยวกับสํานักหมอกเมฆาของเขา
ตอนนี้ทั้งสํานักหมอกเมฆาและกองทัพแห่งจักวรรดิต้าฉันอยู่ในสถานะแบ่งรับแบ่งสู้ไร้ฝ่าย เพลี่ยงพล้ํา สภาพอากาศที่เอื้ออ่านวยและภูมิประเทศที่คุ้นชินจึงทําให้สานักหมอกเมฆาได้เปรียบกว่าเล็กน้อย ทว่าฝ่ายต้าฉันก็ไม่ได้ด้อยกว่าแต่อย่างใด พวกเขาเป็นนักรบมากฝีมือแห่งแว่นแคว้น ทั้งทักษะการทําสงครามและวรยุทธ์ฝึกตนย่อมเหนือกว่าสํานักเครื่องนิลและสํานักเบญจลักษณ์ผนึกกําลังกันเป็นไหนๆ ต่อให้สูญเสียไพร่พลไปหลายพันคนก็ไม่ได้นําพาต่อความมันคงแต่อย่างใด ตรงกันข้าม… หากฝ่ายที่สูญเสียกําลังพลนับพันคนเป็นสํานักหมอกเมฆา โดยเฉพาะหากสูญเสียศิษย์ชั้นเลิศอาจส่งผลกระทบร้ายแรงจนไม่อาจแก้ไข
“อย่ากังวลไป กองกําลังทหารเพียงสองแสนนาย ข้าสามารถกวาดล้างพวกมันให้ดับดินภายในอึดใจเดียว”
เยี่ยฉวนยกยิ้มแสร้งทําเป็นแน่ใจว่าตนจะเป็นฝ่ายชนะในการสู้รบครั้งนี้ เขาลูบไล้เรือนผมยาวสยายของนางอย่างอ่อนโยนก่อนกล่าวต่อ “จื่อเซีย สิ่งที่ข้ากังวลมากกว่าคือสถานการณ์เกี่ยวกับสํานักอสูรเมฆาของเจ้าต่างหาก ช่วงระยะเวลาอันสั้นนี้มีสิ่งใดผิดแผกไปจากเดิมหรือไม่?”
แม้ราชวงศ์ต้าฉันอยู่ในสถานะที่รับมือได้ยากยิ่ง ทว่าเหนือมนุษย์ยังมียักษ์ใหญ่ซึ่งแข็งแกร่ง ราวหินผา และยักษ์ตัวนั้นคือสํานักอสูรเมฆาซึ่งเป็นสํานักผู้ฝึกตนที่เก่งกาจไร้ผู้ใดเทียบเคียง ยิ่งพอมีเรื่องที่เขาทําเตาหลอมระดับสวรรค์ซึ่งเป็นสมบัติระงับชะตากรรมของสํานักพังทลายยับเยิน พวกเขาจะปล่อยผ่านความผิดพลาดเช่นนี้ได้อย่างไร?!
วาจาของเยี่ยฉวนแสดงถึงความมั่นใจเต็มเปี่ยมรวมถึงมองโลกในแง่ดี ทว่าหัวใจของเขากลับหนักอึ้งด้วยความกดดันมหาศาล
“มีทั้งข่าวดีและข่าวร้าย”
สตรีพรหมจรรย์หงจือเซียเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายก่อนกล่าวต่อ “ข่าวดีคือราชินีอสูรเกศาขาว ผู้เป็นท่านอาจารย์ของข้าสามารถทําความเข้าใจความเร้นลับของมวลสรรพสิ่งบนโลกมนุษย์ทั้งหมดแล้ว อีกไม่นานนางจะสามารถบรรลุสู่ขั้นมหาปราชญ์และขึ้นไปยังโลกเหนือแดนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อทําลายระยะว่างเปล่า ถึงเวลานั้นข้าจะถูกเลื่อนขึ้นเป็นราชินีแห่งเผ่าอสูรองค์ใหม่ และสามารถยับยั้งเรื่องเตาหลอมระดับสวรรค์ได้ ส่วนข่าวร้ายคือมีใครบางคนกําลังสร้างเรื่องก่อกวนไม่ให้ข้าขึ้นสู่ตําแหน่งนั้น”
“ใคร?!” สีหน้าของเยี่ยฉวนแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา
“อาจมีหลายคนที่ไม่ยินดีให้ข้าขึ้นครองบัลลังก์ราชินีแห่งเผ่าอสูร ทว่าในบรรดาคนเหล่านั้นมีเพียงไม่กี่คนที่มากความสามารถ ผู้ที่ข้าสงสัยที่สุดคืออาวุโสเจ้าลัทธิเถียนชิง… ถึงกระนั้นหากมีเขาเพียงผู้เดียวที่ต่อต้านอาจไม่สมเหตุสมผล ต้องมีอาวุโสท่านอื่นๆ คอยหนุนหลังเป็นแน่” เมื่อกล่าวถึงเรื่องจริงจังสีหน้าของหงจือเซียพลันแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและเย็นเยือกราวผืนน้ําแข็ง นางหยุดชะงักครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อ “ถึงอย่างไรคงไม่ง่ายนักหรอกที่พวกเขาจะประสบความสําเร็จ เยี่ยฉวน เจ้าอย่าเสียเวลากังวลเรื่องของข้าเลย โอ้….ใช่แล้ว! ข้าใคร่มอบหน้าไม่เหินเวหาเหล่านี้ให้กับเจ้า มันเหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้เป็นอาวุธสังหารยอดฝีมือชั้นเลิศของฝั่งราชวงศ์ต้าฉัน”
หงจือเซียเสนออาวุธสังหารชนิดหนึ่งให้เยี่ยฉวนก่อนเรียกใช้เคล็ดวิชาเพื่อหยิบมันออกมาจาก แหวนคลังสมบัติ
หน้าไม้เหล่านี้มีลักษณะแตกต่างจากหน้าไม้ทั่วไป ขอบของมันยื่นออกไปด้านข้างราวปีกคู่หนึ่งที่สามารถเหาะทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า บนพื้นผิวมีอักขระโบราณถูกจารึกไว้มากมาย เยี่ยฉวนเอื้อมมือไปรับจึงสัมผัสได้ถึงจิตสังหารเย็นเยียบที่แผ่ออกจากอาวุธเหล่านี้ แม้เขามีขั้นการฝึกตนที่สูงส่งพอตัวยังรู้สึกครั่นคร้ามไม่น้อย จิตใจพลันเหน็บหนาวขณะรู้สึกถึงอันตรายเลือนรางอันรุนแรงถึงแก่ชีวิต
คอมเม้นต์