ลำนำบุปผาพิษ – ตอนที่ 1209+1210
บทที่ 1209 เธอคิดถึงร่างเดิมของเธอ 2
ทั้งๆ ที่ไม่ได้พบเจอกันแค่ยี่สิบกว่าวัน ความรู้สึกของกู้ซีจิ่วกลับเหมือนผ่านไปนานมาก วันนี้ได้เจอกันอีกครั้งย่อมอบอุ่นใจเป็นพิเศษ ดังนั้นเธอจึงโบกมือไปทางมัน “เจ้าหอยยักษ์ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? มานี่สิ ให้ข้าดูเจ้าหน่อย”
เจ้าหอยยักษ์ร้องดีใจ กลิ้งมาตรงหน้าเธอทันใด พยายามเอาเปลือกหอยลูบไล้ที่ชายเสื้อเธอ “นายท่าน นายท่าน ท่านเปลี่ยนร่างอีกแล้วหรือ ร่างนี้ช่างสวยงามยิ่งนัก! ฮือๆๆๆ พวกข้าปกป้องร่างกายนั้นของท่านมาตลอด ยังคิดว่าท่านตายไปแล้วจริงๆ…”
กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง
“พวกเจ้าปกป้องร่างนั้นของข้า? อยู่ที่ไหน?”
“อยู่ในตำหนักน้ำแข็งตรงนั้น หลังจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายส่งคนไปรับพวกข้ามา ก็ให้พวกข้าอยู่ภายในตำหนักน้ำแข็งนั้น ปกป้องร่างของท่านเป็นอย่างดี ลู่อู๋ทำให้พลังชีวิตในร่างกายไม่สลายไป ข้าทำให้ศพไม่เน่าเปื่อยได้เป็นเวลานาน ร่างนั้นของท่านถูกพวกข้าปกป้องรักษาไว้ราวกับมีชีวิตอยู่ แค่เพียงไม่มีลมหายใจนั้น…” เจ้าหอยยักษ์บอกเล่าเหตุการณ์และถือโอกาสแสดงความสามารถ
กู้ซีจิ่วไม่พูดพร่ำทำเพลงลากมันไป “พาข้าไปดูหน่อย”
ในที่สุดกู้ซีจิ่วจึงได้พบร่างเล็กนั้นของตัวเองแล้ว
เธอใช้ร่างกายนั้นยังไม่ถึงสามปี และใช้มันด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้ง ก่อนหน้าที่อยู่ในร่างนั้นมาตลอดไม่รู้สึกว่ามีอะไร ตอนนี้มองดูมันจากมุมมองของคนนอกเยี่ยงนี้ เธอกลับรู้สึกแปลกในใจ เหมือนใกล้ชิดแต่ก็เหมือนไม่ค่อยสนิทสนม
ตอนที่เธอมาก็มองเห็น ลู่อู๋น้อยย่อตัวนั่งลงอยู่ด้านบนของโลงผลึกแก้ว สายตากลมโตคู่นั่นมีอารมณ์อ่อนไหว ราวกับมะเขือที่ถูกทุบด้วยน้ำค้างแข็ง[1] จ้องมองร่างกายในโลง…
จนกระทั่งกู้ซีจิ่วเดินเข้ามาเรียกมัน หลังจากที่มันจำเธอได้ พริบตาเดียวก็ตื่นตัวดังเติมเต็มพลังชีวิต กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง!
กระโจนเข้าไปในอ้อมกอดร้องแง้วๆ แอ้วๆ ไม่หยุดหย่อน พยายามถูๆ ไถๆ หัวที่หน้าอกเธอ ไม่รู้ว่าควรจะใกล้ชิดอย่างไรดีจึงจะแสดงออกถึงความดีใจของมันได้ เดิมทีเพรียกวายุนอนคว่ำอยู่ด้านข้าง ตอนนี้ก็วิ่งเข้ามาใช้ลิ้นเลียเสื้อผ้าของกู้ซีจิ่วไม่หยุด…
นี่คือการต้อนรับที่แสนอบอุ่นจริงๆ กู้ซีจิ่วรู้สึกตื้นตันใจ ลูบหัวเพรียกวายุ จัดแจงขนของลู่อู๋น้อย เปลือกกลมของเจ้าหอยยักษ์แทรกตัวเข้ามาไม่ได้ หนีบชายเสื้อด้านหลังของเธออย่างรีบร้อนอยู่ตลอด…
ทั้งสามตัวนี้อยู่ที่สำนักชุมนุมสวรรค์เกือบสองปี เจ้าหอยยักษ์กับเพรียกวายุเปลี่ยนไปไม่มาก แต่ลู่อู๋น้อยกลับเปลี่ยนไปไม่น้อย ขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกเท่าตัว เดิมทียังเข้าไปอยู่ในชายเสื้อของกู้ซีจิ่วได้อย่างสบาย ตอนนี้มันเหมือนแมวใหญ่ตัวหนึ่ง หนักอึ้งเมื่อนอนคว่ำบนแขนของกู้ซีจิ่ว
ทั้งสามตัวรายล้อมรอบกายกู้ซีจิ่ว แต่ละตัวทำตัวน่ารักแสดงถึงความใกล้ชิดสนิทสนม กู้ซีจิ่วเงยหน้าขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ มองเห็นภายในโลงผลึกแก้วมีลำแสงเจ็ดสีสาดส่อง แสงหลากสีนั้นสวยงามแกว่งไกว แทบจะทำให้คนตาบอดได้เลยทีเดียว
กู้ซีจิ่วถูกแสงหลากสีนั้นดึงดูดไป จากนั้นเธอก็มองเห็นหยกนภา…
มันไม่ได้เป็นวงสีดำหมึกอีกต่อไป แต่เป็นรูปลักษณ์เดิมของลูกปัดหลากสีร้อยเรียง ยังสวมไว้ที่ข้อมือของร่างในโลงด้วยความรู้สึกของการมีตัวตนอยู่
กู้ซีจิ่วค่อนข้างประหลาดใจ หยกนภาเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเสรี เจ้าของที่รู้จักทั้งหมดก็คือกายจิตของเธอ เวลานี้มันมองเห็นตัวเธอแล้วกลับไม่กระโจนเข้าหา และยังหมุนวนอยู่บนข้อมือนั้น
เธอก้าวเดินไป ใช้นิ้วมือเคาะหยกนั้น “เสี่ยวชาง!”
หยกนภาสาดแสง จากนั้นก็ไม่มีการตอบสนองใดอีกแล้ว
เกิดอะไรขึ้น?
โกรธงั้นรึ?
หรือว่ามีปัญหาอะไร?
กู้ซีจิ่วจึงเคาะมันอีก “เป็นอะไร? ถูกขังไว้ด้านบนลงมาไม่ได้แล้วหรืออย่างไร?”
เป็นไปได้อย่างไร?!
หยกนภาบินออกมาจากโลงผลึกแก้วเสียงดังพรึบ หมุนวนรอบตัวกู้ซีจิ่วหนึ่งรอบใหญ่
————————————————————————————-
บทที่ 1210 เป็นเพราะการสลับร่างนั่นเอง!
หยกนภาบินออกมาจากโลงผลึกแก้วเสียงดังพรึบ หมุนวนรอบตัวกู้ซีจิ่วหนึ่งรอบใหญ่ จากนั้นบินกลับไปหมุนวนรอบข้อมือร่างนั้นใหม่และยังเปล่งแสงอีกครั้ง ปรากฏเป็นลำแสงละลานตายิ่งกว่าสายรุ้ง
กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง
แค่ไม่เจอกันสิบกว่าวัน เจ้าก็ไม่เป็นมิตรขนาดนี้แล้ว
หรือว่ามันกำลังหึงหวง?
กู้ซีจิ่วตัดสินใจไม่สนใจมันก่อนชั่วขณะ สายตาร่อนลงที่กำไลคู่บุพเพวงนั้น หยุดชะงักครู่หนึ่ง
เดิมที กำไลคู่บุพเพนั้นสวยงามมาก ชุ่มชื้นและโปร่งใส ดังหยกม่วง ตอนนี้กลับกลายเป็นวงเทาหม่น หมองมัวประหนึ่งกำไลหิน
กู้ซีจิ่วหวงแหนกำไลวงนี้ยิ่งนัก สวมใส่อย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ กลัวจะไปโดนอะไรแตกเข้า เธอจะเอามันไปเก็บไว้ในสถานที่สำคัญนานแล้วหากไม่ใช่เพราะถอดไม่ได้ ตอนนี้เห็นมันเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ เธอย่อมปวดร้าวจิตใจ ดังนั้น เธอจึงเอ่ยถามหยกนภา
ตอนแรกหยกนภาดูเหมือนจะไม่อยากสนใจเธอ กู้ซีจิ่วถามมันสองครั้งมันก็ไม่ตอบ
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย เจ้านี่หึงหวงมากเกินไปแล้วนะ…
เธอหันกายเตรียมจะไปหาและถามตี้ฝูอี เพิ่งจะหันกายไป ข้อมือพลันเย็นยาบ หยกนภาเกลียววนขึ้นมา สาดแสงระยิบระยับไม่หยุดหย่อน แต่ไม่มีการตอบโต้อันใดในหัวของกู้ซีจิ่ว
ครั้งนี้ กู้ซีจิ่วประหลาดใจจริงๆ หยกนภาสื่อสารกับเธอผ่านกระแสจิตมาโดยตลอด มันตอบโต้ได้ในหัวของเธอ แต่ครั้งนี้มันเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ตัวเองกลับไม่อาจรับรู้ได้…
หรือว่าเป็นเพราะการสลับร่าง?
“เสี่ยวชาง เจ้าติดต่อได้เพียงกับคนที่เป็นเจ้าของร่างนี้เท่านั้นใช่หรือไม่?
กู้ซีจิ่วถามข้อสงสัยของตัวเองออกมา เพราะเธอสัมผัสไม่ได้ถึงการมีตัวตนของหยกนภา ดังนั้นเธอจึงให้สองตัวเลือกแก่หยกนภา หากเธอพูดถูกให้มันเปล่งแสงหนึ่งครั้ง หากเธอทายไม่ถูกต้องให้มันเปล่งแสงสองครั้ง
สุดท้ายแล้ว หยกนภาเปล่งแสงหนึ่งครั้งอย่างที่คิด
เป็นเพราะการสลับร่างนั่นเอง!
ดูเหมือนว่าหากไม่สลับร่างกลับไป ไม่เพียงแต่กำไลคู่บุพเพจะถอดออกมาไม่ได้ แม้แต่หยกนภาก็ไม่มีทางติดต่อกับเธอได้แล้ว!
เธอสูดลมหายใจเข้าเบาๆ ตัดสินใจไปหาตี้ฝูอีหารือเรื่องการสลับร่าง เขาควรจะมีวิธี!
เธอรู้ว่าเขาไม่เห็นด้วยเรื่องที่เธอจะสลับร่างกลับคืน แต่เธอรู้สึกว่าหากไม่สลับร่าง มันมีข้อเสียมากเกินไปแล้ว เธอต้องไปคุยกับเขาเรื่องเหล่านี้
สถานที่ที่ตี้ฝูอีกักตนอยู่ก็คือห้องภายในตำหนักผลึกแก้วใจกลางวังค้ำนภา
ทว่าเมื่อถึงที่นั้นแล้วก็ถูกมู่เฟิงสกัดไว้ ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายบอกไว้ว่าครั้งนี้เขาต้องกักตนสามวัน ภายในสามวันนี้ให้เธอเป็นเด็กดีอยู่ในวังค้ำนภา รอเขาออกจากการกักตนเมื่อใดค่อยพาเธอออกไปเที่ยวเล่น
ลึกๆ แล้วกู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตี้ฝูอีหว่านล้อมเธอเหมือนเป็นเด็กน้อย ขอแค่ไม่ดื้อไม่ซน เป็นเด็กดีเล่นอยู่บ้าน พอผู้ใหญ่กลับมาก็จะซื้อขนมมาฝาก…
เธอมองไปที่ตำหนักผลึกแก้วนั้นแวบหนึ่ง ตำหนักนั้นถึงแม้ทำมาจากผลึกแก้ว แต่กำแพงตัวตำหนักน่าจะหนาเกินไป ไม่โปร่งใส ดังนั้น จึงมองไม่เห็นว่าด้านในมีลักษณะอย่างไร และย่อมมองไม่เห็นว่าตี้ฝูอีด้านในนั่งสมาธิอย่างไร
มู่เฟิงเห็นนางมองไปภายในตำหนักก็อดไม่ได้ที่จะอยากหัวเราะ เดิมทีแม่นางกู้ผู้นี้เป็นเหมือนดังนกอินทรีที่ไม่ยินยอมรับการผูกมัดใดๆ หากผูกมัดนางแค่เพียงเล็กน้อยก็จะมีการตอบสนองที่รุนแรง ตอนนี้กลับปรารถนาจะอยู่ข้างกายทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตลอดเวลา ที่แท้ เสน่ห์ของนายท่านของเขาไม่มีผู้ใดต้านทานได้ หญิงสาวที่ดื้อรั้นอยู่กับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายนี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลอ่อนพันรอบนิ้วมือ
เขามองกู้ซีจิ่วหันกายจะเดินจากไป จึงรีบบอกอีกประโยคหนึ่ง “นายท่านบอกว่าให้แม่นางฝึกฝนวิชาพลังปัญญาที่เขาสอน บอกว่ามันมีประโยชน์ต่อแม่นางมาก”
กู้ซีจิ่วพยักหน้าแล้วหันกายเดินจากไป
————————————————————————————-
[1] มะเขือที่ถูกทุบด้วยน้ำค้างแข็ง สุภาษิต เปรียบเปรย ความรู้สึกท้อแท้ เหงาหงอย
คอมเม้นต์