ลำนำบุปผาพิษ – ตอนที่ 2387 ตี้ฝูอี ท่านมันตระบัดสัตย์! / บทที่ 2388 แล้ว ไม่มีผู้ใดเทียบข้าได้…
บทที่ 2387 ตี้ฝูอี ท่านมันตระบัดสัตย์!
มีดเล่มนี้สร้างขึ้นเป็นพิเศษ บนตัวมีดมีฤทธิ์ห้ามเลือดได้ชะงัดนัก หลังจากดึงมีดออกมาแล้ว ก็ไม่มีโลหิตไหลออกมาจากปากแผลของนาง
เพียงแต่ถึงอย่างไรก็เป็นการทำร้ายหัวใจ ตอนที่ดึงมีดออกมาร่างนางพลันซวนเซเล็กน้อยสีหน้าขาวซีดปานกระดาษ
องครักษ์จินที่อยู่ข้างๆ พยุงนางไว้ หลังจากนางหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ก็ผลักองครักษ์จินออกไปทันที ประคองโลหิตในมือไว้ เงยหน้ามองตี้ฝูอีแล้วยิ้มเศร้าๆ แวบหนึ่ง
“ข้าทำให้ท่านสมปรารถนาแล้ว!”
แล้วซัดโลหิตนั้นลงไปในแอ่งน้ำสายหนึ่งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า!
แสงสีแดงปะทุขึ้นมา กลิ่นคาวโลหิตกระจายคละคลุ้งไปทั่ว
มีเสียงคำรามแว่วมาจากส่วนลึกของบ่อโลหิตนั้น….
ปฐพีไหวสะเทือนไปทั่ว!
คลื่นสูงกว่าสิบเมตรถาโถมขึ้นเหนือบึงน้ำ หลังจากคลื่นซัดโถม ศีรษะขนาดมหึมาของจระเข้ตัวหนึ่งก็เผยออกมา
จระเข้ที่อยู่รอบข้างพากันยอบกายลง ราวกับราษฎรที่พบเห็นราชาของพวกเขา…
สัตว์ร้ายตัวนั้นใหญ่กว่าจระเข้ที่อยู่รอบๆ เป็นสิบเท่า ศีรษะดุจภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง ดวงตาเสมือนโคมไฟสีเขียวเรืองรองสองลูก ร่างกายมิได้มีห้าสีสันฉูดฉาดเหมือนจระเข้ตัวอื่น ทั้งร่างมันเป็นสีแดงดั่งสุริยัน!
มีเพียงจุดกึ่งกลางหว่างคิ้วตรงหน้าผากที่มีปานดำรูปบุปผาเจ็ดกลีบ
“กรรซ์…”
สัตวร้ายตัวนี้เปล่งเสียงคำรามสะท้านสะเทือนฟ้าดิน พลันสยายปีกกาง ทำให้น้ำโคลนสีแดงในบึงสาดกระเด็นปานพายุฝนแล้วโผเข้าใส่อวิ๋นชิงหลัว…
“มันนี่แหละ…ถอยเร็ว!”
อวิ๋นชิงหลัวหวีดร้อง นางคิดจะถอยหนี แต่บาดเจ็บหนักเกินไปเท้าจึงไร้เรี่ยวแรง
เมื่อครู่ยามที่นางซัดฝ่ามือนั้นลงไปในบึง เห็นได้ชัดว่าไปกระตุ้นกลไกอันใดเข้า
องครักษ์จินที่อยู่ข้างกายนางถูกสะเทือนจนปลิวไปไกลสามจั้ง ล้มลงตรงแทบเท้าของจระเข้วงแหวนเงินตัวหนึ่ง
จระเข้วงแหวนเงินตัวนั้นยื่นกรงเล็บหมายจะตะครุบ องครักษ์จินกลิ้งตัวหลบ พอกระโดดขึ้นมาได้ก็ถูกจระเข้ตัวนั้นโจมตีอีกครั้ง…
องครักษ์จินถูกจระเข้วงแหวนเงินสองตัวพัวพัน ปลีกตัวไม่ได้ชั่วขณะ มองเห็นราชาจระเข้วงแหวนเงินตัวนั้นโผไปถึงตัวอวิ๋นชิงหลัวแล้ว ตกใจจนหน้าถอดสี ทว่าไร้วิธีช่วยเหลือไปชั่วขณะ
อวิ๋นชิงหลัวหลับตาลงแล้ว มุมปากเผยรอยยิ้มเยียบเย็น
ตี้ฝูอี ท่านมันตระบัดสัตย์!
ท่านบอกว่าจะดูแลความปลอดภัยของข้า…
เกิดเสียงดัง
‘ฟุ่บ’
บั้นเอวนางพลันแน่นกระชับ ร่างลอยขึ้นสู่อากาศ
นางใจเต้นแวบหนึ่ง ลืมตาขึ้นมาพบว่าตนถูกรัดพันไว้ด้วยเชือกสีม่วงที่ราวกับกลุ่มไหมก้อนหนึ่ง
และผู้ที่ถือปลายเชือกเอาไว้ก็คือตี้ฝูอี ร่างเขาอยู่กลางอากาศ ดีดนิ้วใส่จระเข้วงแหวนเงินสองตัวที่กำลังโจมตีองครักษ์จินอยู่สองครั้ง ลำแสงรุ้งสองสายบีบให้จระเข้สองตัวนั้นล่าถอยไป
“ถอย!”
องครักษ์จินฉวยโอกาสดีดตัวขึ้นมา หลุดพ้นจากการโจมตีของจระเข้สองตัวนั้น ถอยไปอยู่ข้างกายตี้ฝูอี จากนั้นก็ถอยเข้าสู่ปากอุโมงค์สายนั้นพร้อมกัน
บัดนี้จระเข้ทั้งหมดล้วนถูกกระตุ้นให้แตกตื่นแล้วมีจระเข้หลายร้อยตัวไล่ตามอยู่ด้านหลังของคนทั้งสาม ล้นหลาม มืดฟ้ามัวดิน ส่วนราชาจระเข้วงแหวนเงินตัวนั้นนำอยู่ด้านหน้าสุด ไล่ตามกระชั้นชิดไม่ยอมปล่อย
ความเร็วของจระเข้เหล่านี้ก็รวดเร็วยิ่ง ตี้ฝูอีลากอวิ๋นชิงหลัวพุ่งไปดุจดาวหาง ไม่หยุดชะงักเลย
อวิ๋นชิงหลัวถูกห่อไว้ในเชือกสีม่วงกลุ่มนั้นอย่างแน่นหนา ถูกลมพัดโบกสะบัดดุจผืนธง ขณะที่นางเวียนหัวตาลายอยู่สายตาก็จับแน่นอยู่ที่เงาร่างของตี้ฝูอีในชุดที่ปลิวไสว แววตาเยียบเย็น…
จนถึงช่วงเวลาเช่นนี้ เขาก็ยังไม่ยอมกอดนางเลย…
ตี้ฝูอี ท่านมันใจดำ!
….
ทุกอย่างเป็นแบบที่อวิ๋นชิงหลัวบอก จระเข้เหล่านั้นไม่สามารถออกห่างจากบึงโลหิตแห่งนั้นได้เกินระยะร้อยลี้
ดังนั้นพอพวกตี้ฝูอีทั้งสามพ้นจากระยะร้อยลี้แล้ว จระเข้เหล่านั้นก็ทยอยกันหันหลังกลับไป สุดท้ายก็เหลือเพียงจระเข้วงแหวนเงินตัวใหญ่ที่สุดตัวนั้นที่ยังตามติดอยู่ด้านหลัง ดวงตาโตดุจโคมไฟสองลูกจ้องมองอวิ๋นชิงหลัวที่ถูกพันไว้ในเชือกเขม็ง นัยน์ตาแดงฉานขึ้นเรื่อยๆ
————————————————————————————-
บทที่ 2388 แล้ว ไม่มีผู้ใดเทียบข้าได้…
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในที่สุดพวกตี้ฝูอีทั้งสามก็ล่อจระเข้ตัวนั้นมาถึงปากอุโมงค์ใหญ่นั้นได้
พวกตี้ฝูอีทั้งสามไหวร่างกระโจนเข้าไป จระเข้ตัวนั้นชะงักเท้าไปเล็กน้อย คล้ายว่าจะกริ่งเกรงอุโมงค์ยักษ์แห่งนี้อยู่บ้าง แต่มันต้านทานความเย้ายวนของโลหิตนั้นไม่ไหว ท้ายที่สุดก็กระโจนเข้าไป…
….
ภายในโถงถ้ำ
ตอนที่พวกตี้ฝูอีทั้งสามออกไปล่อจระเข้ พวกกู้ซีจิ่วก็ไม่ได้อยู่ว่างเช่นกัน
แต่เดิมวิชาพิษและวรยุทธ์ของหวาเฉียนจวิ้นก็ยอดเยี่ยมมากอยู่แล้ว หลังจากติดตามอยู่ข้างกายตี้ฝูอี ก็ได้เรียนรู้ศาสตร์ค่ายกลด้วย ในหมู่องครักษ์ทั้งหมด เขาเรียนรู้ได้เร็วที่สุด! เป็นกำลังหลักของราชันย์มาร ทุกครั้งที่เหล่าองครักษ์ต้องตั้งค่ายกล ส่วนใหญ่จะเป็นหน้าที่เขา
เขามั่นใจว่าในแดนอสุราแห่งนี้ไม่มีใครจะทัดเทียมเขาได้ในเรื่องนี้
ดังนั้นพอพวกตี้ฝูอีทั้งสามจากไป เขาก็เริ่มขอให้พวกกู้ซีจิ่วทั้งสองสร้างค่ายกลขึ้นตามที่เขาชี้แนะทันที
ในอดีตจู๋ตู๋ชิงเคยเห็นค่ายกลของหวาเฉียนจวิ้นผู้นี้มาแล้ว ยังคงนับถือเขาในด้านนี้มาก
หากว่ากู้ซีจิ่วไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาอาจจะรับฟังคำชี้แนะจากหวาเฉียนจวิ้นไปแล้ว
แต่ตอนนี้…
เขาโบกพัดในมือพลางออกคำสั่ง
“ครั้งนี้อาจารย์ข้าจะเป็นผู้ก่อค่ายกล เจ้าจงทำตามที่สั่ง!”
หวาเฉียนจวิ้นนิ่งงันไปครู่หนึ่ง ขมวดคิ้ว
“ท่านทั้งสอง ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาชิงดีชิงเด่นกัน องค์ราชันย์จะล่อจระเข้มาในไม่ช้านี้ เวลาของพวกเรามีค่า เรื่องค่ายกลให้ฟังคำข้าเถิด! อย่าได้ถ่วงรั้งงานให้ล่าช้าเลย”
จู๋ตู๋ชิงหัวเราะหยัน
“วิชาค่ายกลของเจ้ายังห่างชั้นกับอาจารย์ข้านัก! ฟังเจ้าสิถึงจะถ่วงรั้งให้งานล่าช้า!”
หวาเฉียนจวิ้นหน้าเปลี่ยนสีทันใด กำมือแล้ว
“คุณชายไผ่ขจี ผู้น้อยทราบว่าท่านปรารถนาจะปกป้องอาจารย์ แต่ท่านจะนำเรื่องในปัจจุบันนี้มาล้อเล่นไม่ได้ ว่ากันด้วยเรื่องศาสตร์ค่ายกลแล้วในแดนอสุรานอกจากองค์ราชันย์แล้ว ไม่มีผู้ใดเทียบข้าได้…”
“ขี้โม้!”
จู๋ตู๋ชิงดูแคลน
“นั่นเป็นเพราะเจ้ายังไม่เคยเห็นค่ายกลของอาจารย์ข้า! ค่ายกลของอาจารย์ข้ายอดเยี่ยมกว่าองค์ราชันย์ของเจ้าเสียอีก!”
หวาเฉียนจวิ้นผงะไปเล็กน้อย
เดิมทีในใจเขาค่อนข้างไม่พอใจกู้ซีจิ่วอยู่แล้ว ยามนี้สะกดกลั้นไว้ไม่อยู่อีกต่อไป อดไม่ได้ที่จะหัวเราะหยันคราหนึ่ง
“ก่อค่ายกลต้องการพลังวิญญาณที่สูงส่ง และต้องมีความคิดรอบคอบถี่ถ้วน หากเป็นการสร้างค่ายกลที่แปลกใหม่สร้างสรรค์ไร้แรงคุกคาม สตรีสามารถทำได้แน่ แต่ครั้งนี้ต้องใช้คุมขังจระเข้วงแหวนเงิน สัตว์พิษชนิดนี้ร้ายกาจยิ่งนัก ต้องทุ่มเทสติปัญหาทั้งหมดเพื่อรับมือ เลินเล่อไม่ได้เลยสักนิด ไม่ใช่เวลามาล้อเล่น…ถ้าแม่นางกู้เสพติดการก่อค่ายกลอยากก่อขึ้นสักอันก็ย่อมได้ รอให้เสร็จภารกิจในครั้งนี้แล้ว ผู้น้อยจะเล่นเป็นเพื่อนแม่นางสักหน…”
“เจ้ามานี่สิ”
จู่ๆ กู้ซีจิ่วที่เงียบงันอยู่ตลอดก็เอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง
หวาเฉียนจวิ้นเงยหน้าขึ้น มองเห็นว่าในระหว่างที่เขากับจู๋ตู๋ชิงเถียงกันอยู่ กู้ซีจิ่วก็ได้จัดเรียงก้อนหินใหญ่ไม่กี่ก้อนไว้ตรงนั้น ตอนนี้นางยืนอยู่ด้านหลังหินใหญ่ก้อนหนึ่ง กำลังมองเขาอย่างเฉยเมย
หวาเฉียนจวิ้นรู้ดีว่าองค์ราชันย์ของบ้านตนทะนุถนอมแม่นางกู้ผู้นี้ยิ่งนัก ย่อมไม่กล้าล่วงเกินนางจริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงเดินเข้าไปหา
“แม่นางกู้มีเรื่องใดจะสั่งการ…”
วาจาท่อนหลังเขาไม่ได้กล่าวออกมาแล้ว เนื่องจากเขาพบว่าตัวเองติดอยู่ในค่ายกลอย่างหนึ่งแล้ว
ในค่ายกลคือป่าศิลายักษ์ หนีบเขาไว้ตรงกลาง ทำให้เขาตกที่นั่งลำบาก
เสียงของกู้ซีจิ่วคล้ายจะแว่วอยู่ไม่ไกลนัก
“ถ้าทำลายค่ายกลนี้ได้ภายในระยะเวลาครึ่งถ้วยชา ผู้ทรงศักดิ์อย่างข้าก็จะฟังคำสั่งเจ้า”
ในเมื่อหวาเฉียนจวิ้นเป็นยอดฝีมือด้านค่ายกล ความสามารถในการทำลายค่ายกลย่อมเก่งกาจยิ่งนักเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่พูดพร่ำทำเพลงอันใดเริ่มทำลายค่ายกลเลย…
ค่ายกลที่เกิดจากการจัดเรียงหินใหญ่แค่ไม่กี่ก้อนจะทรงอานุภาพแค่ไหนกันเชียว? อย่างว่าแต่ครึ่งถ้วยชาเลย แป๊บเดียวเขาก็ฝ่าออกไปได้แล้ว!
ผ่านไปครู่หนึ่ง ระยะเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านพ้นไปแล้ว หวาเฉียนจวิ้นยังคงติดอยู่ด้านใน ออกไปไม่ได้เลยสักก้าว
คอมเม้นต์