ลำนำบุปผาพิษ – ตอนที่ 2001+2002
บทที่ 2001 เยียวยา
“ฝูอี พวกเราตรวจสอบร่องรอยของยานพาหนะทั้งหมดที่เคยบินผ่านท้องฟ้าในละแวกรอบๆ หุบเขาล่องเมฆาในสามวันมานี้ดูแล้ว ไม่มีคนที่เจ้าตามหาเลย” สหายของตี้ฝูอีส่งข่าวนี้มาอีกครั้ง
นางบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ หากจากไปจะต้องโดยสารสัตว์พาหนะและรถม้า แต่ยามนี้กลับไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นร่องรอยของนางเลย แล้วนางจากไปอย่างไร?
“พี่ฝูอี คงมิใช่ว่านางประสบเหตุอันใดที่นี่ไปแล้วกระมัง?” บางคนอดไม่ที่จะคาดเดา
ถึงอย่างไรสถานที่แห่งนี้ก็รกร้างไร้ผู้คน ในหุบเขามีสัตว์ร้ายอยู่ไม่น้อย หากว่ามีสัตว์ร้ายตามกลิ่นคาวเลือดมา ด้วยสภาพของนางในยามนั้นไม่มีทางต่อกรได้ ไม่แน่ว่าอาจถูกกินไปแล้ว…
“ไม่มีทาง!” ตี้ฝูอีเอ่ยขัดเขา อย่างไรเสียเขาก็อยู่ร่วมกับนางมาชั่วระยะหนึ่ง ทราบถึงนิสัยและปฏิกิริยาตอบสนองที่ว่องไวของนาง คนผู้นั้นเชี่ยวชาญด้านการเอาตัวรอดจากสถานการณ์อันตรายที่สุด นางมีวิธีการมากมายที่ทำให้สายตาคนเปล่งประกายได้เสมอ…
นางมีความสามารถมากล้นถึงเพียงนั้น ต่อให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าสิ้นหวังก็เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกสัตว์ร้ายอันใดคาบไปกิน!
แต่ว่า สรุปแล้วนางไปอยู่ที่ไหนกันแน่? เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ามองเขาเป็นเป้าหมายของภารกิจอันใดสักอย่าง ซ้ำยังกล่าววาจายั่วโมโหต่อหน้าผู้อื่นอีก ทำให้ข่าวลือแพร่กระจายไปทั่วหล้า ทำให้ความ ‘ไร้เดียงสา’ ของเขาสูญสิ้นไปจนหมด
เมื่อสหายเหล่านั้นทราบว่าเขาก็คือเสินเนี่ยนโม่ จึงเริ่มหยอกล้อเขาเล่นแล้ว เรียกเขาว่า ‘ท่านเขยน้อย’ ซ้ำยังถามด้วยว่าเขาคิดเห็นประการใด
เขาไม่มีความคิดเห็น มีความคิดที่จริงจังเพียงประการเดียวเท่านั้น
ในเมื่อนางกล่าววาจาเช่นนี้ออกมา เขาก็ช่วยเหลือนางให้กลายเป็นความจริงเสีย!
ทำให้นางรู้ว่าวารีมิอาจดื่มส่งเดชได้ วาจานี้ก็ไม่อาจเอ่ยส่งเดชได้เช่นกัน เมื่อพูดออกมาแล้วก็ต้องรับผิดชอบ…
ยันต์ถ่ายทอดเสียงตรงหว่างเอวของเขาพลันเปล่งแสงขึ้นมา ตี้ฝูอีกดรับ ด้านนั้นมีคนเอ่ยรายงาน “พี่ฝูอี มีรถม้าคันหนึ่งเข้าไปในจวนของแม่ทัพหลงซือเย่ จากนั้นทั้งจวนก็มีการอารักขาอย่างเข้มงวด…”
ตี้ฝูอีถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่กี่วันมานี้เขาส่งคนจับตามองที่พำนักของสหายไม่กี่คนของกู้ซีจิ่วเอาไว้ทั้งสิ้น ทันทีที่มีความผิดปกติ ให้รายงานทันที
ยามนี้หมากก้าวนี้ของเขาไม่ได้เสียเปล่าแล้ว นางน่าจะไปหาเขาที่นั่น…
….
กู้ซีจิ่วบาดเจ็บสาหัสจริงๆ ซ้ำยังบาดเจ็บภายในด้วย อวัยวะภายในแตกหักเสียหาย โชคดีที่ยามนั้นเธอฝืนข่มไว้ไม่แสดงอาการใดออกมา ใช้วิชาเคลื่อนย้ายต่อเนื่องกันหลายครั้งจนสายตาเธอมืดมัว แทบจับทิศทางไม่ได้แล้ว เพียงขอให้ยิ่งไกลหุบเขาล่องเมฆาได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี สุดท้ายเธอก็มาถึงภูเขาหิมะแห่งนี้ หลังจากมาถึงที่นี่ เธอก็ยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้ว สำรอกโลหิตออกมาหลายคำ เดิมทีเธอคิดจะคลำหยิบยันต์ถ่ายทอดเสียงออกมาติดต่อหลงซือเย่ให้มาช่วยเหลือ แต่ยังไม่ทันได้เห็นสียันต์ถ่ายทอดเสียงอย่างชัดเจน ก็สำรอกโลหิตออกมาอีกแล้ว ทำได้เพียงโยนยันต์ถ่ายทอดเสียงในมือทิ้งไปเสีย
จากนั้นก็โซซัดโซเซมาจนถึงถ้ำแห่งนี้ คิดจะเข้าฌานฟื้นฟูสักหน่อยแล้วค่อยว่ากัน ผลคือแม้แต่นั่งสมาธิเธอก็ยังนั่งไม่ได้เลย ทำได้เพียงนอนเอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้น
เมื่อเจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋เห็นเธอเป็นเช่นนี้ก็ร้อนรนยิ่งนัก แต่พวกมันไม่รู้วิชาแพทย์ ไม่อาจทำการรักษาให้ผู้เป็นนายได้
ด้านนอกมีเสียงสัตว์ร้ายขู่ก้องร้องคำรามแว่วมารางๆ มีเจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋อยู่ที่นี่ ไม่มีสัตว์ร้ายตาไร้แววตัวใดรนเข้ามาหาที่ตาย
ตามแผนการของกู้ซีจิ่ว เธอจะนั่งสมาธิฟื้นฟูอยู่ที่นี่ อย่างน้อยก็ให้พละกำลังฟื้นฟูกลับมาก่อนแล้วค่อยไป
แต่อาการบาดเจ็บของเธอหนักหนากว่าที่ตัวเธอคาดคิดไว้ เธอนอนอยู่ตรงนั้นกว่าค่อนชั่วยามแล้ว แม้แต่แรงจะลุกขึ้นนั่งยังไม่มีเลย
เธอกินโอสถรักษาที่ออกฤทธิ์รวดเร็วที่สุดไปแล้ว คะเนไว้ว่าหลังจากโอสถออกฤทธิ์ เธอคงจะลุกขึ้นมานั่งปรับลมหายใจได้ กลับคาดไม่ถึงเลยว่าโอสถที่กินเข้าไปเหล่านั้นราวกับวัวดินจมสมุทร ไม่เป็นผลเลยสักนิด
————————————————————————-
บทที่ 2002 เยียวยา 2
โลหิตร้อนๆ ในทรวงเดือดพล่าน เธอแทบจะสะกดไว้ไม่อยู่แล้ว
เธอรู้ว่าตัวเองไม่อาจโอ้เอ้ได้อีกต่อไป!
เธอจะต้องหาคนที่พึงพาได้สักคนมาช่วยเดินพลังยุทธ์ให้ มิเช่นนั้นเกรงว่าชีวิตน้อยๆ ของเธอคงต้องจบเห่ลงที่นี่แล้ว!
เธอนึกถึงหลงซือเย่ขึ้นมา คิดจะใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงติดต่อให้หลงซือเย่มาที่นี่ แต่คลำหาในมิติเก็บของอยู่พักใหญ่ ก็หายันต์ถ่ายทอดเสียงแผ่นนั้นไม่พบ
ก่อนหน้านี้ต่อสู้กันดุเดือดเกินไป ระหว่างต่อสู้เธอเคยล้วงหยิบศาสตราวุธในมิติเก็บของ ไม่จำเป็นต้องถามเลย ยามที่เธอล้วงหยิบอาวุธ ยันต์ถ่ายทอดเสียงคงติดออกมาแล้วหล่นหายไปด้วย!
ดูเหมือนเธอจะทำได้เพียงไปหาเขา…
ลู่อู๋จึงขันอาสา “เจ้านาย ข้าจะแบกท่านไปเอง!”
เจ้าหอยยักษ์ดูแคลนมัน “โง่เง่า เจ้านายนั่งแทบไม่อยู่แล้ว นางไม่มีทางทรงตัวบนหลังเจ้าได้ ให้เจ้านายอยู่ในเปลือกหอยของข้า แล้วเจ้าแบกข้าไปจะปลอดภัยกว่า”
ลู่อู๋มองหมิ่นมัน “อันที่จริงเจ้าก็อยากให้ข้าแบกเจ้าไปล่ะสิ? ทำเป็นพูดดี!”
กู้ซีจิ่วฝืนเปิดปากเอ่ย ตัดบทการตีฝีปากของเจ้าสองตัวนี้ “เดินทางทางอากาศไม่ได้ จะมีคนดักสกัดได้…เจ้าหอยยักษ์ เจ้าใช้วิชาดำดินพาข้าไป”
พวกเฒ่าหงำเหงือกเหล่านั้นเสียเปรียบใหญ่หลวงถึงเพียงนั้นในหุบเขาล่องเมฆา ไม่แน่ว่าอาจจะส่งลูกศิษย์มากมายออกมาค้นหาที่อยู่ของเธอ ทางอากาศเป็นเป้าเกินไป เปิดเผยร่องรอยได้ง่ายยิ่งนัก ดังนั้นวิชาดำดินของเจ้าหอยยักษ์จึงเป็นทางเลือกเดียว เพียงแต่ระยะทางค่อนข้างไกล ถ้าเจ้าหอยยักษ์ใช้วิชาดำดินอย่างเดียว กว่าจะถึงที่นั่นของหลงซือเย่ก็ใช้เวลาห้าหกวัน และอาการบาดเจ็บของเธอก็ยืนหยัดได้ไม่ถึงห้าหกวันแล้ว…
ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงให้เจ้าหอยยักษ์ดำดินไปถึงชั้นฟ้าที่เจ็ดก่อน จากนั้นค่อยให้ลู่อู๋แปลงกายเป็นอาชาสวรรค์ แบกเธอไป
ยามนี้วิชาดำดินของเจ้าหอยยักษ์เข้าขั้นล้ำเลิศแล้ว มันสามารถดำลึกลงไปใต้ดินได้เลย ไม่ทิ้งร่องรอยไว้บนผิวดินเลยสักนิด
เจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋ฝึกฝนวรยุทธ์มาจนถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ว่าจะไปที่ไหน ขอเพียงพวกมันไม่จงใจ ไม่มีทางที่จะมีร่องรอยใดๆ หลงเหลืออยู่ ดังนั้นยามที่ตี้ฝูอีมาถึง ที่นี่จึงเหลือเพียงร่อยรอยที่กู้ซีจิ่วเคยนอนอยู่ ทว่าไม่เห็นร่องรอยของเจ้าสองตัวนั้น…
….
ไม่กี่ปีมานี้หลงซือเย่ยุ่งมากอยู่ตลอด ยุ่งอยู่เสมอ
ถึงอย่างไรเขาก็เคยชินกับการเป็นเจ้าสำนักไปแล้ว ต่อให้หลังจากขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนแล้วจะถูกลบความทรงจำทั้งหมดไป แต่สัญชาตญาณยังคงอยู่ ความเคยชินยามอยู่ในแดนมนุษย์ก็ยังอยู่ ดังนั้นหลายปีมานี้ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ของเขาจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเท่านั้น ตำแหน่งก็เลื่อนขึ้นอย่างรวดเร็วด้วย ยามนี้เป็นแม่ทัพแล้ว และเป็นแขนขาของจักรพรรดิเซียนองค์ปัจจุบันแล้วด้วย
ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพ มีลูกน้องใต้สังกัดมากมาย ข่าวสารย่อมฉับไวยิ่งยวดเป็นธรรมดา
ดังนั้นเรื่องเหล่านั้นในหุบเขาลองเมฆาและหุบเขาไร้พันธะของกู้ซีจิ่วเขาก็ได้ยินมาแล้วเช่นกัน ข่าวที่เขาได้รับคือกู้ซีจิ่วหนีไปได้พร้อมอาการบาดเจ็บ ไม่ทราบเบาะแสร่องรอย
เขาเป็นห่วงนาง ใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียงติดต่อหานางอยู่หลายครั้ง จนปัญญาที่ติดต่อไม่ได้เลย เขาก็ส่งสายสืบออกไปค้นหาที่อยู่ของนางไม่น้อยเช่นกัน
เพียงแต่ ผ่านไปสามวันแล้ว ยังไม่ได้รับข่าวคราวใดๆ จากนางเลย
ท้องฟ้ามืดมิดแล้ว ขณะที่เขากำลังร้อนรนเดินวนไปวนมาปานมดในหม้อร้อนๆ อยู่ จู่ๆ รถม้าคันหนึ่งก็ลงจอดในเรือนของเขา
รูปลักษณ์ของรถม้าคันนี้ค่อยข้างประหลาด ตัวรถไม่เพียงแต่มืดทึบเท่านั้น แม้แต่อาชาสวรรค์ก็เป็นสีดำด้วย
จวนแม่ทัพของหลงซือเย่มีผู้คุ้มกันอยู่ไม่น้อยเลย จู่ๆ ก็มีรถม้าคันหนึ่งร่อนลงมาจากฟากฟ้าเช่นนี้ ย่อมกระตุ้นให้ทุกคนตื่นตัวขึ้นมาเป็นธรรมดา กรูกันเข้าไปห้อมล้อม พากันร้องถาม
อย่างไรก็ตามภายในรถม้าคันนั้นเงียบสงัด แม้แต่เสียงสักแอะก็ไม่มี กลับเป็น ‘อาชาสวรรค์’ ตัวนั้นที่เปิดปากเอ่ย “เรียกแม่ทัพหลงของพวกเจ้าออกมา มีสหายเก่ามาเยือนแล้ว”
อาชาสวรรค์ที่มีสติปัญญาแล้วผู้คุ้มกันเหล่านี้เคยพบเห็นมามากแล้ว แต่เป็นครั้งแรกที่ได้พบเห็นอาชาสวรรค์ที่พิเศษถึงเพียงนี้ น้ำเสียงกร้าวแกร่งและผยองถึงเพียงนี้
———————————
Related
คอมเม้นต์