ลำนำบุปผาพิษ – ตอนที่ 1856+1857
บทที่ 1856 หมกมุ่น 2
อย่างไรเสียนับตั้งแต่ตี้ฝูอีดับขันธ์ไป เธอก็ไม่เคยประมือกับผู้ใดอีก นานๆ ครั้งถึงจะลงมือสักหนก็รุนแรงดุจสายฟ้า สะสางได้ในชั่วพริบตา เธอไม่ได้สำแดงพลังบำเพ็ญทั้งหมดออกมาในการต่อสู้เลย
ตัวเธอก็คงไม่ทราบเช่นกันว่าตอนนั้นที่ตี้ฝูอีครองคู่เป็นสามีภรรยากับเธอ ทุกครั้งที่ร่วมหอกันล้วนถ่ายทอดทักษะยุทธ์ส่วนหนึ่งให้เธอเสมอ ทำให้พลังยุทธ์ของเธอเพิ่มพูนขึ้นด้วยความเร็วที่น่าพรั่นพรึง…
และหลังจากที่ตี้ฝูอีดับขันธ์ไปแล้ว พลังวิญญาณของเขาได้กลายเป็นเห็ดมรรคาม่วง ถูกกู้ซีจิ่วเก็บเกี่ยวมาทั้งหมด หลอมกลั่นเป็นยาลูกกลอน
หยกนภาคะยั้นคะยอให้เธอกินยาลูกกลอนพวกนั้นเข้าไปมากมาย จึงทำให้พลังยุทธ์ของเธอเพิ่มขึ้นอย่างทบทวีอีกครั้ง กู้ซีจิ่วในปัจจุบันมิใช่อาเหมิงแห่งรัฐอู๋อีกแล้ว ไม่ด้อยไปกว่าตี้ฝูอีเมื่อปีนั้นแล้ว
กู้ซีจิ่วที่เป็นเช่นนี้เมื่ออยู่ที่ดินแดนเบื้องบนแล้วจะเป็นระดับใด หยกนภาก็ไม่เข้าใจแดนพ้นโศกแห่งนี้ ดังนั้นจึงไม่อาจเทียบขั้นให้ได้ แต่มันสัมผัสได้ว่า วรยุทธ์ของกู้ซีจิ่วน่าจะเหนือกว่าพวกเซียนชุดขาวที่เป็นผู้นำทางในจัตุรัสเหล่านั้นอยู่บ้าง และแข็งแกร่งกว่าองค์หญิงหย่าผู้นั้นด้วย…
สีม่วงเป็นสีที่มีเพียงเชื้อพระวงศ์ของแดนพ้นโศกเท่านั้นที่สวมใส่ได้ และระดับความอ่อนแก่ก็แตกต่างกันไปตามสถานะ
องค์หญิงหย่าผู้นั้นสวมใส่สีม่วงอ่อน อวิ๋นเยียนหลีผู้นั้นเป็นสีม่วงดอกกานพลู ยิ่งฐานะสูงศักดิ์ สีม่วงก็ยิ่งเข้มขึ้น
กู้ซีจิ่วเอามือเท้าคางมองดูด้านล่าง ท่ามกลางผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่ด้านล่างเธอมองไม่เห็นสีม่วงสักเสี้ยวเลย…
หรือคนที่เธอตามหาจะเป็นเชื้อพระวงศ์?
แดนพ้นโศกแห่งนี้แบ่งออกเป็นเก้าชั้นฟ้า เชื้อพระวงศ์ที่สูงศักดิ์ที่สุดพำนักอยู่ที่ชั้นเก้า ขุนนางขั้นสามขึ้นไปจะพำนักอยู่ที่ชั้นแปด เซียนที่เป็นขุนนางชั้นผู้น้อยจะอยู่ที่ชั้นเจ็ด ประชาชนชาวเซียนทั่วไปจะอยู่ที่ชั้นหก
แน่นอนว่าชั้นฟ้ายิ่งสูงเท่าไหร่ พลังวิญญาณก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นไปด้วย
นี่เป็นสาหตุที่ทำให้หลังจากผู้โบยบินบางส่วนที่ขึ้นมา ยินยอมเป็นข้ารับใช้ เนื่องจากจะได้อาศัยอยู่ในสถานที่ที่มีพลังวิญญาณหนาแน่นกับเจ้านาย
ชั้นฟ้าที่เก้าและชั้นฟ้าที่แปดไม่อาจขึ้นไปได้ตามอำเภอใจ จะต้องมีผู้นำทางพาเข้าไปถึงจะได้
ยามที่กู้ซีจิ่วขึ้นมาจัตุรัสแห่งนั้นคือสวรรค์ชั้นที่หก สามารถเข้าออกได้ตามสบาย
ชั้นฟ้าที่ห้าเป็นเขตพรมแดนสามภพ มีทหารของเผ่าเซียนอยู่ที่นั่น และมีทหารของเผ่ามารและเผ่าปีศาจรักษาการณ์อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน
เทียบได้กับเขตชายแดนของโลกเบื้องล่าง
เผ่ามารครอบครองชั้นฟ้าที่สามและชั้นฟ้าที่สี่ ส่วนเผ่าปีศาจครอบครองชั้นฟ้าที่หนึ่งและชั้นฟ้าที่สอง
ได้ยินมาว่าเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ภพเซียน ภพมาร ภพปีศาจต่างครอบครองกันเผ่าละสามชั้นฟ้า ได้ก่อศึกสงครามครั้งใหญ่ขึ้น ต่อมาเผ่าเซียนแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เข้ายึดครองกลืนกินพื้นที่ของเผ่ามารและเผ่าปีศาจจนเหลือน้อยลงเรื่อยๆ ทำได้เพียงเข้ายึดครองพื้นที่กันดารมืดมิดที่อยู่ด้านล่างชั้นฟ้าที่ห้าลงไปเท่านั้น
กู้ซีจิ่วเตร็ดเตร่อยู่ที่นี่กว่าหนึ่งเดือนแล้ว เข้าใจรูปการณ์ของที่นี่พอสมควร
เธอสำรวจพื้นที่ส่วนใหญ่ของชั้นที่หกจนทั่วแล้ว และได้พบเชื้อพระวงศ์ไม่กี่คนบ้างเป็นครั้งคราว พวกเขาบ้างก็สวมอาภรณ์สีม่วงอ่อนบ้างก็สวมสีม่วงเข้ม ท่ามกลางคนเหล่านี้มีผู้ที่รูปโฉมหล่อเหลาอยู่ไม่น้อยเลย แต่เมื่อกู้ซีจิ่วลอบสังเกตอยู่พักใหญ่ ล้วนพบว่าพวกเขาไม่ใช่คนที่ตนกำลังตามหา…
เธอเคาะต้นไม้ใคร่ครวญอยู่เงียบๆ ได้ยินว่าจักรพรรดิเซียนมีโอรสอยู่สององค์ องค์ชายเล็กอวิ๋นเยียนหลี องค์รัชทายาทอวิ๋นเยียนหง ล้วนเป็นยอดอัจฉริยะทั้งสิ้น และเป็นผู้มีความสามารถอย่างยิ่ง อวิ๋นเยียนหลีเธอเคยพบแล้ว หรือเธอควรจะไปพบอวิ๋นเยียนหงผู้นั้นดู?
เธอตระเวนไปทั่วอยู่หลายวัน ยามนี้จึงรู้สึกง่วงงุนอยู่บ้าง เอนหลังพิงคาคบไม้แล้วผล็อยหลับไป
ขณะที่สะลึมสะลืออยู่ เธอวิ่งอยู่ท่ามกลางหุบเขาอีกครั้ง ต่อให้เป็นความฝันเธอก็ยังคล้ายว่าจะตามหาอะไรอยู่
สายพิรุณกระหน่ำลงมาจากฟ้า เธอวิ่งไปตามสัญชาตญาณ วิ่งเข้าไปหลบฝนในถ้ำแห่งหนึ่ง
เธอวิ่งเข้าไปด้วยฝีเท้าหนักบ้างเบาบ้าง ไม่ทราบว่าสะดุดอะไรเข้า จึงล้มคะมำเข้าไป
———————————————————————
บทที่ 1857 หมกมุ่น 3
เธอวิ่งเข้าไปด้วยฝีเท้าหนักบ้างเบาบ้าง ไม่ทราบว่าสะดุดอะไรเข้า จึงล้มคะมำเข้าไป จากนั้นมองเห็นศาลาเล็กๆ หลังหนึ่งอยู่ท่ามกลางไอหมอกฟุ้งตลบ คนผู้หนึ่งนั่งอยู่ในศาลา…
หัวใจเธอเต้นแรงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด สัญชาตญาณสัมผัสได้ว่าคนผู้นี้คือคนที่ตนกำลังตามหา จึงพุ่งเข้าไป
จะว่าไปก็แปลก ศาลาเล็กหลังนั้นอยู่ไม่ไกลจากเธอชัดๆ เป็นระยะห่างที่กระโจนคราเดียวก็ถึง ทว่าเธอเหินทะยานอยู่เนิ่นนานแล้วกลับยังห่างไกลเท่าเดิม
เธอมองเห็นเพียงโครงร่างคร่าวๆ ของคนผู้นั้น คล้ายว่าคนผู้นั้นกำลังนั่งสมาธิอยู่ตรงนั้น แน่นิ่งไม่เคลื่อนไหวราวกับพระพุทธรูป
เธอมองเห็นรูปโฉมของคนผู้นั้นได้ไม่ชัด แต่มองเห็นรางๆ ว่าบนตักของคนผู้นั้นวางกล่องสีแดงเข้มใบหนึ่งไว้
เนื่องจากอยู่ไกลเกินไป เธอจึงเห็นรูปทรงของกล่องใบนั้นไม่ชัดเจน เพียงมองออกว่าบนกล่องใบนั้นมีมรกตเม็ดใหญ่เท่าไข่นกพิราบอยู่ ส่องประกายวาววับอยู่ตรงนั้น
กู้ซีจิ่วยืนอยู่ไกลๆ แล้วมองเข้าไปในศาลาหลังน้อย
สัมผัสได้รางๆ ว่า คนผู้นั้นไม่คล้ายว่าใช่มนุษย์จริงๆ แต่เหมือนรูปสลักหยก
และในมือของคนผู้นั้นคล้ายจะถือกำไลวงหนึ่งไว้ สีทองอร่ามพร่าตา คล้ายจะแฝงฉัพพรรณรังสีไว้
คนผู้นั้นหลุบตามองกำไลข้อมือวงนั้น ท่าทางเช่นนั้นเสมือนว่ากำลังนั่งรำพึงถึงความหลัง!
หัวใจที่ตายด้านของกู้ซีจิ่วพลันเต้นกระหน่ำขึ้นมา
ถึงแม้คนผู้นี้จะไม่ได้สวมชุดม่วง แต่สัมผัสที่หกบอกต่อเธอว่า นี่คือคนที่เธอกำลังตามหา!
“นี่ ท่านเป็นใคร?” ในเมื่อเธอวิ่งไปไม่ถึง จึงตะโกนเรียกเสียเลย
คนผู้นั้นไม่ไหวติง และไม่มีทีท่าว่าจะเงยหน้ามองเธอสักแวบเลยด้วย
กู้ซีจิ่วพยายามเบิกตามองพิจารณาเขาอย่างสุดชีวิต แต่มีไอหมอกนั้นขวางกั้นทัศนะวิสัยอยู่ เธอจึงเห็นไม่ชัด
เธอตะโกนต่อเนื่องกันหลายครั้ง คนผู้นั้นไม่มีความเคลื่อนไหวเลย
คงไม่ใช่ว่าเป็นรูปสลักหยกจริงๆ กระมัง?!
กู้ซีจิ่วรู้สึกได้รางๆ ว่าฉากนี้ค่อนข้างคุ้นตา ราวกับว่าเธอเคยประสบพบพานในอดีตเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกเลย
ในส่วนลึกของความมืดคล้ายจะมีเสียงขลุ่ยสายหนึ่งแผ่วลอยมา
เสียงขลุ่ยไพเราะกังวาน เสนาะหูยิ่งนัก
ในเมื่อเธอเข้าไปหาไม่ได้ จึงนั่งลงบนโขดหินก้อนหนึ่งแล้วฟังเสียเลย เสียงขลุ่ยนั้นเธอรู้สึกคุ้นหูยิ่งนัก
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเป็นท่วงทำนองที่สุขสันต์ยิ่ง ทว่าเธอกลับอยากร้องไห้ออกมาอย่างน่าประหลาด…
และไม่ทราบเช่นกันว่าผ่านไปนานแค่ไหน เสียงขลุ่ยหยุดลงแล้ว และเบื้องหน้าเธอก็มีม่านหมอกปกคลุม รอจนหมอกสลายไป ศาลาเล็กเอย คนชุดขาวเอย ล้วนอันตรธานหายไปหมดแล้ว
เธอเหลียวมองรอบข้างอย่างเลื่อนลอย พบว่าตนยืนอยู่ในถ้ำไม่เห็นก้นแห่งหนึ่ง ด้านในลึกจนไม่อาจหยั่งได้ มีเสียงประหลาดนับไม่ถ้วนแว่วออกมาจากด้านใน คล้ายเสียงสัตว์ร้ายโหยหวนคำราม ทำให้คนฟังแล้วขนลุกขนพอง
คนชุดขาวผู้นั้นล่ะ?!
กู้ซีจิ่วไม่ยินยอมยิ่งนัก กวาดสายตามองภายในถ้ำรอบหนึ่ง ย่อมไม่เห็นเงาร่างของคนชุดขาวผู้นั้นแล้ว
หรือเขาจะไปซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของถ้ำ?
กู้ซีจิ่วเม้มปาก ยกเท้าหมายจะก้าวสู่ด้านใน
ทันใดนั้นพลันมีเสียงเลือนรางสายหนึ่งแว่วลอยมาในความมืด “อย่าได้ดึงดันตามหาอีกเลย เจ้ากับเขาไร้วาสนาต่อกัน”
เสียงนั้นแผ่วรางเลื่อนลอย แยกไม่ออกกระทั่งว่าเป็นชายหรือหญิง
“เขาเป็นใคร?” กู้ซีจิ่วถือโอกาสถาม
เสียงนั้นถอนหายใจเบาๆ “ในเมื่อเป็นผู้ที่ไร้วาสนาต่อกันแล้ว ไยเจ้าต้องซักไซ้ไต่ถามอีกเล่า?”
“เขาเป็นใคร?!” กู้ซีจิ่วเอ่ยถามอย่างดื้อรั้น
เสียงนั้นเงียบไปเนิ่นนาน ยามที่เอ่ยขึ้นมาอีกครั้งกลับไม่ได้ตอบคำถามของเธอ “เจ้าจำเป็นต้องตามหาเขาให้ได้หรือ?”
น่าจะใช่กระมัง?
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตนตามหาคนผู้นี้จนคล้ายว่ากลายเป็นความหมกมุ่นอย่างหนึ่งไปแล้ว เธอพยักหน้ารับ “จำเป็น!”
“เจ้าจะตามหาเขาไปทำไม? บางทีเขาอาจไม่ใช่ตัวเขาแล้ว…”
“หาให้เจอก่อนแล้วค่อยว่ากัน!” ตัวกู้ซีจิ่วเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตามหาเขาไปทำไม เพียงอยากหาให้พบก่อน…
————————————
คอมเม้นต์