เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) – ตอนที่ 1467 : การเปลี่ยนแปลงของอุโมงค์

อ่านนิยายจีนเรื่อง เทพกระบี่มรณะ ตอนที่ 1467 : การเปลี่ยนแปลงของอุโมงค์ อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ตอนที่ 1467 : การเปลี่ยนแปลงของอุโมงค์

“เจี้ยนเฉิน เจ้าต้องตรวจสอบพลังวิญญาณด้วยตัวเอง เจ้าขาดวิธีในการใช้มันให้ถูกต้อง ปกติแล้วถ้าเจ้าใช้มันด้วยวิญญาณในขั้นย้อนกลับ เจ้าสามารถทำให้จอมยุทธขั้นย้อนกลับบาดเจ็บหนักและฆ่าจอมยุทธขั้นรับมอบได้ แต่พลังวิญญาณที่เจ้าใช้ก่อนหน้านี้เป็นภัยแค่กับเซียนจักรพรรดิ แม้ว่ามันจะผ่านการป้องกันมาได้ก็ตาม เจ้าไม่อาจจะทำให้จอมยุทธขั้นรับมอบบาดเจ็บสาหัสได้” เฮายู่เตือนเจี้ยนเฉินอย่างจริงจัง

“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะตรวจสอบพลังวิญญาณและหวังว่าจะหาวิธีการใช้มันเพื่อจะเพิ่มพลังของมันได้” เจี้ยนเฉินตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น จากโลกตอนนี้แม้ว่าเผ่าพันธุ์ทั้งสี่จะร่วมมือกัน แต่ก็มีแค่ เถี่ยต้า เทพเจ้าแห่งท้องทะเล, เสี่ยวจิน และเสี่ยวหลิง ที่ครอบครองพลังเทียบเท่ากับขอบเขตดั้งเดิม แต่พวกเขาได้ลดระดับเป็นเซียนจักรพรรดิกันหมด แม้ว่าพวกเขาจะยังเพิ่มพลังขึ้นมาเป็นจอมยุทธขั้นรับมอบเพราะอาวุธเซียนได้ แต่พลังนั้นก็อยู่แค่ระดับล่างของขั้นรับมอบ พลังนั้นเพียงพอแค่จัดการกับเซียนจักรพรรดิ แต่มันยากที่จะใช้สู้กับจอมยุทธขั้นรับมอบได้

สำหรับเสือขาวแล้ว มันยังคงรับการสืบทอดของมันอยู่ มันจะตัดผ่านขอบเขตดั้งเดิมผ่านการสืบทอดได้หรือไม่นั้นยังเป็นเรื่องไม่แน่นอน แม้ว่ามันจะทะลวงผ่านได้แต่ก็มีแค่พวกเขา 9 คนที่ครอบครองพลังในขอบเขตดั้งเดิม มันเป็นไปไม่ได้ที่พวกนั้นจะชนะจอมยุทธขอบเขตดั้งเดิมหลายสิบคนจากโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งได้

แต่ตอนนี้อำนาจของพลังวิญญาณนักรบได้ให้ความหวังใหม่กับเจี้ยนเฉิน ตามที่เฮายู่บอกมา ถ้าเขาเข้าใจวิธีและทักษะในการใช้มันด้วยการเพิ่มพลังพลังวิญญาณจนถึงขีดสุด เขาก็สามารถทำให้จอมยุทธขั้นย้อนกลับบาดเจ็บสาหัสด้วยพลังวิญญาณที่เขามีตอนนี้และฆ่าพวกที่อยู่ขั้นรับมอบได้ ตอนนั้นความได้เปรียบของพวกต่างโลกภายนอกก็จะหมดไป

“หากข้าไม่อาจจะทำให้พลังวิญญาณนักรบถึงขีดจำกัดได้ในครั้งหน้าที่มีคนต่างโลกมาบุกรุก โอกาสเดียวที่ข้าจะชนะอยู่ที่ศิลาเซียนหยินหยาง ข้าได้เข้าถึงร่างบรรพกาลขั้น 5 แล้ว ดังนั้นข้าจึงสามารถดูดซับพลังของหินเซียนหยินหยางได้ มันก็แค่ข้าต้องให้ซ่างกวนมู่เอ๋อมาดูดซับมันกับข้าด้วย มัน…เฮ้อ…” เจี้ยนเฉินถอนหายใจออกมาเบา ๆ เมื่อคิดถึงศิลาเซียนหยินหยาง เขาต้องการไล่ตามหญิงสาวเจ้าเสน่ห์แห่งสวรรค์ซึ่งอาจจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดที่ใครจะทำได้ในโลกแม้ว่าเขาจะมีลูกกับนางแล้วก็ตาม

“พลังวิญญาณนักรบสำคัญกว่า นอกเสียจากว่าข้าไม่มีทางเลือก ข้าไม่ต้องการแตะต้องศิลาเซียนหยินหยางนั่น” เจี้ยนเฉินคิดก่อนที่จะอำลาเฮายู่และออกจากโถงศักดิ์สิทธิ์จันทร์แจ่มไป

โถงศักดิ์สิทธิ์อยู่สวนด้านหลังของจวนเจ้าเมืองในเมืองอัคนี มันคือเขตหวงห้ามและไม่มียามคอยลาดตระเวน ตอนที่เขายืนอยู่นอกโถงศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่เห็นใครแม้แต่คนเดียว รอบข้างนั้นเงียบสนิท

เจี้ยนเฉินสูดหายใจเข้าลึก ๆ พร้อมสงบสติอารมณ์ เขาไม่ได้ไปหาโหยวเยว่, ไป๋เหลียน หรือใครอื่น เขากลับไปที่ห้องลับของเขาแทน

เจี้ยนเฉินไม่ได้เริ่มศึกษาพลังวิญญาณนักรบในห้องลับ เขาใช้ความสามารถของเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 9 เพื่อชุบชีวิตยุทธภัณฑ์จักรพรรดิทันทีที่ทำได้ เขารู้ว่าการหาวิธีในการใช้พลังวิญญาณไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นเขาวางแผนว่าจะใช้เวลาที่มีค่าในการชุบชีวิตยุทธภัณฑ์จักรพรรดิ

หลังจากที่เป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 9 และเนื่องจากวิญญาณของเขาขึ้นถึงขั้นย้อนกลับ ความเร็วในการฟื้นคืนชีพเจ้าของยุทธภัณพ์จักรพรรดิก็เพิ่มขึ้นมาหลายเท่า เขาคงใช้เวลาหลายวันในการฟื้นคืนชีพเจ้าของยุทธภัณฑ์จักรพรรดิชิ้นหนึ่งตอนที่เขาเป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 8 และมันก็ทำให้หมดแรงอย่างมากแต่ตอนนี้เขาสามารถฟื้นคืนชีพมันสองชิ้นขึ้นมาในวันเดียวได้ง่าย ๆ ด้วยความเร็วระดับนี้เขาใช้เวลาแค่ปีเดียวในการฟื้นคืนชีพยุทธภัณพ์จักรพรรดิหลายร้อยชิ้นที่เก็บมาจากกสี่เผ่าพันธุ์ให้เป็นหุ่นเชิดเซียนจักรพรรดิ

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ครึ่งปีผ่านไปและระหว่างปีนั้น เจี้ยนเฉิน ก็ยังคงอยู่ในห้องลับทำการฟื้นคืนชีพเจ้าของยุทธภัณฑ์จักรพรรดิ เขาไม่ได้หยุดเลยแม้แต่น้อยและเหลือยุทธภัณฑ์จักรพรรดิแค่เพียงครึ่งเดียว หุ่นเชิดเซียนจักรพรรดิกว่า 300 ตัวยืนอยู่ในมิติ เผยให้เห็นพลังแห่งการมีอยู่อันแข็งแกร่งออกมา

ในเวลาเดียวกัน หยางลี่, กุยไฮ่ยี่เตา และเฟิงเซียวเทียน นั่งอยู่บนภูเขาภายในเทือกเขาขนาดใหญ่ใกล้กับทะเลเหนือของทวีป พวกเขาต่างก็มองทอดลงมาด้านล่างภูเขาที่ซึ่งทั้งสามนั่งอยู่เป็นพื้นที่ราบเปิด ดูเหมือนว่าจะมีคนผ่าภูเขาเป็นครึ่งหนึ่งเนื่องจากผิวด้านล่างนั้นเรียบ

เซียนจักรพรรดิหลายร้อยคนจากสี่เผ่านั่งอยู่ในพื้นที่เปด พวกนั้นต่างก็ฟังการสั่งสอนของเฟิงเซียวเทียนกันอย่างพอใจ

“ผู้คนในอารามจิตพิสุทธ์อาจจะต้องมีจิตใจที่บริสุทธิ์ ไม่ไล่ตามชื่อเสียงรึมัวเมาในสิ่งของ แต่การรุกรานจากโลกภายนอกนั้นเกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของอารมจิตพิสุทธิ์ เผ่าอขงเราในฐานะมนุษย์และทุกเผ่าในโลกนี้ ผลก็คือเราต้องเข้าร่วมการต่อสู้ต่อต้านโลกภายนอก ไม่ว่ายังไงก็ตามแต่ความแข็งแกร่งของเราต่างจากโลกอื่นมากเกินไป เราไม่ได้เปรียบเรื่องจำนวนของผู้บ่มเพาะระดับต่าง ๆ ดังนั้นเราจึงไม่อาจจะรับมือได้โดยตรงเหมือนการบุกรุกครั้งก่อนได้” เฟิงเซียวเทียน พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง สายตาของเขาสั่นไหวและมองไปรอบ ๆ “ข้ามีค่ายกล ค่ายกลนี้ต้องใช้ 7 คน ถ้าเซียนจักรพรรดิ 49 คนตั้งค่ายกลขึ้นมา ค่ายกลนี้จะมีพลังในการขังจอมยุทธขั้นรับมอบได้และมีโอกาสเล็กน้อยที่จะฆ่าพวกเขาได้ ข้าจะสอนค่ายกลนี้กับพวกเจ้า ให้ข้าสาธิตมันให้ดู”

เฟิงเซียวเทียน แอบถอนหายใจแล้วสอนค่ายกลนี้ สีหน้าของเขาแฝงไปด้วยความขมขื่นและหมดหนทาง ค่ายกาลนี้เป็นของนิกายจากโลกสูงกว่า แม้ว่ามันจะเป็นค่ายกลขั้นต่ำแต่มันก็ไม่น่าจะปรากฏขึ้นมาในโลกนี้ แต่เขาไม่มีทางเลือก พวกเขาต้องขับไล่ผู้บุกรุกและทำให้อารามจิตพิสุทธิ์อยู่รอดต่อไปได้

อุโมงค์ซ่อนอยู่ใต้ดินในซากของเมืองทหารรับจ้างได้ถูกเปิดออกมานานตอนที่พื้นดินถล่มลง แม้แต่จากท้องฟ้าก็ยังเห็นอุโมงค์นี้ได้ชัดเจน

ลำแสงพลังงานสามารถกำจัดเซียนราชาได้ทันทีและแม้แต่เซียนจักรพรรดิก็ยังต้องหลีกเลี่ยงมัน มีร่างพร่ามัวโผล่ขึ้นมาในส่วนลึกของอุโมงค์ ร่างพวกนั้นค่อย ๆ เดินหน้าไปในอุโมงค์อย่างระวัง พวกมันดูเหมือนกับผีที่สั่นไหวตัวบิดเบี้ยวไม่มั่นคง

ลำแสงพลังงานสีม่วงกระจายไปทั่วทุกทางภายในอุโมงค์ แต่ทันทีที่ลำแสงนั้นเข้าถึงตัวพวกมัน พลังงานก็ได้จางลงก่อนจะสลายไป

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด