คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 70 ตระกูลฉิน

อ่านนิยายจีนเรื่อง คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด ตอนที่ 70 อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

ฉินอี้เฟยฟังคำพูดนั้นของฉินอวี้โม่แล้วจ้องมองน้องสาวของตัวเองอย่างพิจารณา เวลานี้ดูเหมือนว่านางจะโตขึ้นมากแล้ว และนั่นก็ทำให้เขายิ้มออกมาอย่างโล่งใจ

“ข้าจำได้ว่าตอนที่ยังเป็นเด็ก เสี่ยวโม่เอ๋อร์มักจะเอาแต่หลบซ่อนอยู่หลังพี่ใหญ่ตลอดเวลา ตอนนั้นเจ้าเป็นเด็กน้อยขี้อาย  แต่หลายปีมานี้เด็กน้อยของพี่ใหญ่เติบโตขึ้นมากเลย”

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ในตอนนี้ ฉินอี้เฟยก็อดที่จะระลึกถึงความหลังครั้งก่อนไม่ได้ เขาเอ่ยวาจานั้นออกมาเพราะรู้สึกเช่นนั้นอย่างจริงแท้ ทว่าถ้อยคำของฉินอี้เฟยกลับทำให้ฉินอวี้โม่ชะงักไป

อย่างไรก็ตาม นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็รีบดึงอารมณ์ของตนกลับมาอย่างรวดเร็ว ยังดีที่คุณหนูสี่ไม่ได้เจอพี่ชายมานานหลายปีแล้ว มิฉะนั้นฉินอี้เฟยจะต้องรู้ได้อย่างแน่นอนว่านางไม่ใช่น้องสาวคนเดิมของเขา

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เสี่ยวโร่วบอกว่าพวกเจ้าออกมาจากตระกูลฉินที่เมืองหลิงซีแล้วอย่างนั้นหรือ ?”

ทันทีที่นึกถึงคำพูดของเสี่ยวโร่วขึ้นมาได้ ฉินอี้เฟยก็เอ่ยปากถาม

ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางคิดว่าฉินอี้เฟยคงจะคิดมากในเรื่องนี้ ซึ่งเหตุผลนั้นก็เป็นเพราะว่าเมื่อครั้งที่คุณชายใหญ่ของบ้านยังคงอาศัยอยู่ในตระกูลฉินที่เมืองหลิงซี  ฉินเทียนมักจะปฏิบัติกับฉินอี้เฟยอย่างดีเสมอมา

ทว่าฉินอี้เฟยกลับทำในสิ่งที่ฉินอวี้โม่ไม่คาดคิด คุณชายใหญ่ผู้พลัดพรากยิ้มออกมาบาง ๆ พลางกล่าว “เอาเถอะ เจ้าออกมาก็ดีแล้ว”

เมื่อได้ยินวาจาแปลกประหลาดของพี่ชาย ฉินอวี้โม่ก็จ้องมองเขานิ่งนาน นางกำลังเกิดความรู้สึกที่ว่าอีกฝ่ายอาจจะกำลังปกปิดอะไรบางอย่างอยู่

ในระหว่างที่สองพี่น้องและสาวใช้น้อยกำลังสนทนากันอยู่นั้น คนของตระกูลฉินก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าพวกเขา

ตระกูลฉินคือหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองไป๋อวิ๋น แน่นอนว่าฐานะของตระกูลฉินจะต้องเหนือกว่าตระกูลอื่น ๆ ไม่น้อย  อย่างไรก็ตาม ตระกูลฉินเป็นตระกูลเรียบง่าย พวกเขาไม่ชื่นชอบความหรูหราอลังการ ไม่นิยมการโอ้อวดความร่ำรวย ดังนั้นแล้วหากจะดูความมั่งคั่งของตระกูลใหญ่นี้จากที่พักอาศัยจึงถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง

แม้จะกว้างขวาง แต่ที่นี่กลับไม่มีเรือนหลังใหญ่งดงาม กำแพงจวนเป็นสีเทาธรรมดา ไม่มีสิ่งประดับตกแต่งที่เลิศหรู จวนแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในรูปแบบที่เน้นกลิ่นอายโบราณและเรียบง่าย

“คุณชายอี้เฟยมาแล้วหรือขอรับ”

เมื่อบ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตูเรือนหลักเห็นฉินอี้เฟย เขาก็กล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มเป็นกันเอง

แม้ว่าฉินอี้เฟยจะไม่ได้เติบโตในจวนแห่งนี้และเพิ่งจะย้ายเข้ามาได้ไม่นาน แต่ทุกคนในจวนตระกูลฉินต่างก็รู้จักเขาเป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งเพราะเขาเป็นคนที่ผู้นำตระกูลรักมาก แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือฉินอี้เฟยเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมโอสถ ฝีมือของเขาสูงส่งไม่แพ้ผู้ใด ทุกคนจึงให้ความเคารพคุณชายผู้นี้

“ท่านผู้นำตระกูลอยู่หรือไม่ ?”

ฉินอี้เฟยยิ้มและเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองเช่นกัน

ฉินอี้เฟยเป็นคนที่เข้าถึงได้ง่าย อีกทั้งยังมีหน้าตาหล่อเหลา ท่าทางภูมิฐาน มุมปากของเขามักมีรอยยิ้มแต้มอยู่เสมอ เมื่อได้เห็นคุณชายตระกูลฉินผู้นี้ไม่ว่าใครก็ล้วนอยากจะเข้ามาสนทนาด้วย

“ท่านผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสหลายท่านกำลังหารือกันอยู่ในห้องโถง คุณชายต้องการให้ข้าน้อยนำข้อความเข้าไปแจ้งหรือไม่ ?”

บ่าวรับใช้กล่าวอย่างนอบน้อม

“ไม่ต้อง เดี๋ยวข้าจะเข้าไปเอง”

ฉินอี้เฟยยิ้มให้คนเฝ้าประตูแทนคำขอบคุณ ก่อนพาฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเดินไปยังห้องโถงรับรองของเรือนหลัก

บ่าวรับใช้นั้นสังเกตเห็นว่าฉินอี้เฟยพาคนสองคนติดตามไปด้วยจึงลอบมองด้วยความใคร่รู้ ทว่าเมื่อได้เห็นใบหน้าของฉินอวี้โม่ชัด ๆ เขาก็ตกตะลึงไปในทันที

และกว่าบ่าวผู้นั้นจะได้สติกลับมาอีกครั้ง ฉินอี้เฟยและฉินอวี้โม่ก็หายลับไปจากสายตาของเขาแล้ว

“เหตุใดแม่นางผู้นั้นถึงได้หน้าคล้ายกับคุณชายอี้เฟยยิ่งนัก ?!”

บ่าวรับใช้อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาประโยคหนึ่ง ใบหน้าของแม่นางที่ติดตามคุณชายของเขามาทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย เพราะพวกเขาทั้งคู่เหมือนกันราวกันเป็นพี่น้อง !

ฉินอี้เฟยพาฉินอวี้โม่มุ่งตรงไปยังห้องโถงรับรองของตระกูลฉินและกล่าวแนะนำเกี่ยวกับสมาชิกภายในตระกูลให้นางฟังอย่างคร่าว ๆ

ในเวลานี้ผู้นำตระกูลฉินก็คือ–ฉินเฟิน เขาคือบิดาบังเกิดเกล้าของฉินเทียน และเป็นปู่ของฉินอี้เฟยและฉินอวี้โม่

เรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตนั้นฉินอี้เฟยเองก็ไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัด เขารู้เพียงแต่ว่าเมื่อนานมาแล้วมีเหตุบางอย่างที่ทำให้ฉินเทียนถูกฉินเฟินขับไล่ออกจากตระกูลจนต้องระหกระเหเร่ร่อนไปอยู่ยังเมืองเล็ก ๆ อย่างหลิงซี  อันที่จริงรายละเอียดของเรื่องนี้ถือเป็นความลับของตระกูล ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ทุกคนรวมถึงฉินอี้เฟยจะรู้เพียงคร่าว ๆ

เมื่อห้าปีก่อน ฉินอี้เฟยถูกทางสำนักงานใหญ่แห่งสมาคมโอสถที่ซึ่งตั้งอยู่ในนครไป๋อวิ๋นเรียกตัวมาที่เมืองหลวง ด้วยเหตุผลที่ว่าพวกเขาเล็งเห็นพรสวรรค์ด้านการหลอมโอสถอันโดดเด่นในตัวเขา และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้มาเยือนตระกูลฉินในไป๋อวิ๋น รวมถึงได้พบฉินเฟินผู้นำตัวจริงแห่งตระกูลฉิน

ในเวลานั้นฉินเฟินแสดงให้เห็นว่าเขารักและเอ็นดูหลานชายผู้นี้มาก ฉินอี้เฟยสัมผัสได้ว่ามันเป็นความรักที่มาจากหัวใจอย่างจริงแท้ ไม่ใช่สิ่งเสแสร้ง

ซึ่งสิ่งนี้ก็ทำให้ฉินอี้เฟยรู้สึกสับสนมากขึ้นกว่าเดิม ในเมื่อปู่ของเขารักพวกเขามากถึงเพียงนี้ แล้วเหตุใดบิดาของเขา–ฉินเทียน ถึงได้ถูกขับไล่ออกจากตระกูลฉินไปในตอนนั้น

นอกเหนือจากฉินเฟินที่คอยดูแลฉินอี้เฟยอย่างดีแล้ว ในตระกูลฉินยังมีอีกผู้หนึ่งที่รักและเอ็นดูฉินอี้เฟยมาก คนผู้นี้มีนามว่าฉินหยาง เขาเป็นน้องชายของฉินเทียนและเป็นอาของฉินอี้เฟยและฉินอวี้โม่

เมื่อครั้งยังอยู่ในตระกูลฉิน ฉินเทียนสนิทสนมกับฉินหยางน้องชายของเขามาก ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนพี่น้องเรียกได้ว่าไร้ซึ่งกำแพงกั้น

ฉินหยางมีบุตรชายหญิงอย่างละคน บุตรชายของเขาอายุไล่เลี่ยกับฉินอี้เฟย มีนามว่า–ฉินอี้เฉียง ส่วนบุตรสาวของเขาอายุมากกว่าฉินอี้โม่หนึ่งปีและมีนามว่า–ฉินอี้เพ่ย พวกเขาทั้งคู่กำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนราชสำนัก

ฉินอี้เฉียงเหลืออีกเพียงหนึ่งปีก็จะสำเร็จการศึกษาแล้ว ในขณะที่ฉินอี้เพ่ยเพิ่งจะเข้าโรงเรียนราชสำนักได้เมื่อปีก่อน

ภายในตระกูลฉินมีผู้อาวุโสอยู่ทั้งหมดเจ็ดคน และคนที่ฉินอวี้โม่ได้พบในป่าแสงจันทร์ก็คือผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลฉิน–ฉินอีเฟิง ส่วนผู้อาวุโสอีกหกคนที่เหลือล้วนอยู่ในขอบเขตนภมายาหรือสูงกว่ากันทั้งหมด

ผู้อาวุโสของตระกูลฉินนั้นเรียกได้ว่ารักใคร่ปรองดอง พวกเขามีความสามัคคีกลมเกลียวและไม่เคยมีเรื่องบาดหมางทะเลาะเบาะแว้งกันมาก่อน

ผู้เป็นพี่ชายบอกกล่าวเรื่องราวและเอ่ยแนะนำคนในตระกูลให้น้องสาวฟังในขณะที่เดินไปยังห้องรับรองจนในที่สุดสองพี่น้องจากหลิงซีก็เดินมาจนถึงจุดหมาย บัดนี้ประตูห้องรับรองของเรือนหลักตระกูลฉินตั้งอยู่ตรงหน้าฉินอวี้โม่แล้ว

“เสี่ยวโร่ว เจ้ารออยู่ด้านนอกก่อนนะ”

ฉินอวี้โม่กล่าวกับเสี่ยวโร่ว และเดินตามฉินอี้เฟยเข้าไปด้านใน

ภายในห้องโถงแห่งนี้ ฉินเฟินกำลังหารือบางอย่างอยู่กับเหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดของตระกูล ในตอนนั้นเองที่พวกเขามองเห็นฉินอี้เฟยเดินเข้ามา

เป็นเพราะว่าฉินอวี้โม่สวมใส่ชุดบุรุษอยู่จึงทำให้ผู้นำตระกูลสูงอายุไม่ได้สังเกตเห็นดรุณีน้อยที่มากับหลานชายเขาตั้งแต่แรก

“อี้เฟยเจ้ามาแล้วรึ”

ฉินเฟินส่งยิ้มใจดีให้ฉินอี้เฟยและเอ่ยปากกล่าว

ฉินอี้เฟยพยักหน้า ในตอนที่เขากำลังจะแนะนำตัวฉินอวี้โม่ที่อยู่ข้าง ๆ นั้น จู่ ๆ ฉินอีเฟิงก็ลุกขึ้นมา

“เสี่ยวอวี้โม่ ?”

ในตอนที่นางเดินเข้ามาพร้อมกับฉินอี้เฟย ผู้อาวุโสเจ็ดก็สังเกตเห็นคนร่างเล็กที่เดินตามหลานชายมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาแต่ทว่าก็ยังไม่แน่ใจจนกระทั่งได้เห็นใบหน้างามนั้นชัดเจน ผู้อาวุโสเจ็ดตระกูลฉินก็ลุกขึ้นมาและอุทานด้วยความประหลาดใจ

“ท่านลุงเจ็ด ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเจ้าคะ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มให้ฉินอีเฟิง

ด้วยอาการของฉินอีเฟิง รวมถึงชื่อของฉินอวี้โม่ที่ออกมาจากปากของเขา ฉินเฟินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ด้านในสุดก็ลุกขึ้นยืนในทันที

เหล่าผู้อาวุโสแห่งตระกูลฉินที่เหลืออีกหกคนก็ลุกยืนขึ้นเช่นกัน

สายตาทุกคู่ของทุกคนล้วนแต่จ้องมองมายังฉินอวี้โม่ แววตาของพวกเขามีทั้งความปลาบปลื้ม ตื่นเต้น และอยากรู้อยากเห็นเจืออยู่ เหนือสิ่งอื่นใดคือพวกเขายินดีไม่น้อยที่ได้เห็นนางในวันนี้

“ท่านปู่ ท่านลุงทั้งหลาย นี่คือเสี่ยวโม่เอ๋อร์ น้องสาวของข้าเอง”

เมื่อฉินอี้เฟยเห็นแววตาตื่นเต้นยินดีและความประหลาดใจของทุกคน เขาก็ยิ้มและรีบแนะนำตัวน้องสาวก่อนจะดันร่างบางของฉินอวี้โม่ให้ก้าวออกไปด้านหน้า

เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของฉินอวี้โม่อย่างแจ่มชัด ฉินเฟินและผู้อาวุโสทั้งหลายก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก

นางดูคล้ายกับฉินอี้เฟยมากกว่าหกถึงเจ็ดส่วน เพียงแต่ฉินอวี้โม่ดูอ่อนหวานละมุนละไมกว่ามาก ผิวขาวบางนั้นเนียนละเอียดกว่าและมีความงามที่น่าดึงดูดตามแบบอิสตรี  แม้ว่านางจะมาในชุดบุรุษแต่ก็ยังยากที่จะปิดบังความงดงามของนางได้

“อวี้โม่ ? ลูกสาวของเทียนเอ๋อร์กับเสี่ยวอวิ๋น หลานสาวตัวน้อยของข้าจริง ๆ อย่างนั้นรึ ?”

ฉินเฟินค่อย ๆ เดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่ เขาเอ่ยขึ้นด้วยอาการตื่นเต้นที่ไม่อาจปกปิด

ฉินอวี้โม่พยักหน้าก่อนจะรีบคุกเข่าลงทันที “อวี้โม่ยินดีที่ได้พบท่านปู่และผู้อาวุโสทุกคน”

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่คุกเข่าลงกับพื้นแล้วก้มลงคารวะพวกเขา ฉินเฟินและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างปลื้มปีติ

“อวี้โม่รีบลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องเป็นทางการนักก็ได้”

ฉินเฟินรีบดึงตัวฉินอวี้โม่ขึ้นมา เขาสำรวจไปทั่วใบหน้าและร่างเล็ก ๆ เพื่อมองดูนางให้ชัด ๆ

“นี่คือหลานสาวของฉินเฟินเฒ่าผู้นี้จริง ๆ ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมมากไม่ต่างจากพี่ชายของเจ้าเลยสักนิด !”

ฉินเฟินพยักหน้าอย่างมีความสุขก่อนจะจัดแจงที่นั่งให้แก่ฉินอวี้โม่และฉินอี้เฟย จากนั้นทุกคนก็กลับไปนั่งประจำที่ของตัวเองอีกครั้ง

“เสี่ยวอวี้โม่ ข้าได้ยินว่าเจ้าฝึกฝนอยู่ในป่าแสงจันทร์ถึงครึ่งปีก่อนที่จะมายังนครไป๋อวิ๋น ในตอนนี้เจ้าอยู่ในระดับใดแล้วล่ะ ?”

ผู้อาวุโสห้ามองดูฉินอวี้โม่แล้วเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย

ก่อนหน้านี้ หลังจากฉินอีเฟิงกลับมาจากป่าแสงจันทร์ก็ได้แจ้งว่าพบกับฉินอวี้โม่หลานสาวผู้พลัดพราก อีกทั้งยังได้กล่าวถึงเรื่องความแข็งแกร่งอันน่าตกใจของนางให้พวกเขาได้ทราบ

ด้วยเหตุนี้จอมยุทธ์ทั้งหลายในตระกูลจึงอยากรู้อยากเห็นเรื่องระดับพลังของนางมาก

ฉินอวี้โม่รู้สึกว่าผู้อาวุโสทุกคนของตระกูลฉินนั้นน่าเลื่อมใส พวกเขาดูจริงใจและสามารถไว้วางใจได้ นั่นทำให้นางคิดว่าไม่มีสิ่งใดที่นางต้องปิดบัง

สาวน้อยผู้งดงามยิ้มบาง ก่อนจะเรียกสัญลักษณ์แห่งระดับพลังออกมาแสดงให้ทุกคนดู

ฉินเฟินและผู้อาวุโสทั้งหลายสัมผัสได้ถึงสภาวะพลังที่แกร่งแข็งจากร่างกายของฉินอวี้โม่ ก่อนที่ทุกคนจะมองเห็นสัญลักษณ์รูปกระบี่เล่มเล็กเจ็ดเล่มปรากฏขึ้นที่ฝ่าเท้าของนาง

เมื่อจอมยุทธ์บรรลุถึงขอบเขตนภมายาแล้ว รูปดวงดาวที่ใช้แสดงระดับพลังก็จะแปรเปลี่ยนกลายเป็นสัญลักษณ์รูปกระบี่ และกระบี่เล็ก ๆ ทั้งเจ็ดเล่มนี้ก็แสดงถึงว่านางอยู่ขอบเขตนภมายาเจ็ดดารา

สาวน้อยอายุไม่ถึงสิบเจ็ดปีแต่ก็บรรลุถึงขอบเขตนภมายาได้แล้ว นี่นับเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยากยิ่งในดินแดนหวงหลิงแห่งนี้

“สวรรค์ ข้าไม่ได้มองผิดไปใช่ไหม ?! นภมายาเจ็ดดารา ตอนนี้ระดับพลังของเสี่ยวอวี้โม่แข็งแกร่งกว่าข้าอีกหรือ ?”

ฉินอีเฟิงเบิกตากล่าวด้วยความประหลาดใจ เขามองหลานสาวตัวน้อยอย่างตกตะลึงราวกับมองเห็นสัตว์ประหลาด

ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็มีอาการไม่ต่างจากฉินอีเฟิง ทุกคนประหลาดใจกับระดับพลังของฉินอวี้โม่ในตอนนี้เป็นอย่างมาก

ทุกคนล้วนทราบดีว่าครั้งล่าสุดที่ฉินอีเฟิงได้พบเจอกับฉินอวี้โม่ภายในป่าแสงจันทร์นั้น เวลานั้นนางยังอยู่เพียงขอบเขตมายารัตนะเก้าดารา นี่เพิ่งผ่านพ้นไปเพียงครึ่งปี ทว่านางกลับก้าวขึ้นมาอยู่ขอบเขตนภมายาเจ็ดดาราแล้ว…แล้วจะไม่ให้คนแก่ ๆ อย่างพวกเขาที่ต้องทุ่มเทเวลาหลายต่อหลายปีเพื่อเลื่อนขึ้นสักหนึ่งดาราตกใจได้อย่างไร ?

“ฮ่า ๆ ๆ หลานสาวของข้ามีพรสวรรค์สูงส่งไม่มีใครเทียบเทียม !”

ฉินเฟินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดัง

ฉินอวี้โม่คือหลานสาวของเขา แน่นอนว่าเขาย่อมต้องอยากให้นางแข็งแกร่งมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ฉินอี้เฟยเองก็เคยทำให้ตระกูลฉินประหลาดใจมาแล้วครั้งหนึ่ง ในตอนนี้เพิ่มฉินอวี้โม่ที่มีพรสวรรค์สูงส่งมากอีกหนึ่งคน ฉินเฟินรู้สึกว่าอนาคตของตระกูลฉินต่อไปในภายภาคหน้าก็คงไร้ขีดจำกัด

เมื่อความตื่นเต้นของเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายเริ่มสงบลง ผู้อาวุโสห้าก็กล่าวขึ้นมา “เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรด้วยใช่หรือไม่ ?”

ฉินอวี้โม่พยักหน้า ในเรื่องนี้นางไม่ปฏิเสธ ขอเพียงแต่ไม่ต้องกล่าวถึงกายเทพมายาก็ถือว่าเพียงพอแล้ว เรื่องสถานะของผู้ฝึกสัตว์อสูรแม้จะถูกเปิดเผยออกไป นางก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นปัญหา

“ข้าคิดมาเสมอว่าอี้เฟยคืออัจฉริยะที่พิเศษกว่าใคร ไม่คิดเลยว่าน้องสาวของเขาจะน่าตกใจยิ่งกว่า ฉินเทียน ลูกของเจ้าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ !”

ผู้อาวุโสห้าตกตะลึงกับพรสวรรค์อันน่าตกใจของฉินอวี้โม่มากจนอดไม่ได้ที่จะกล่าววาจาเช่นนั้นออกไป อย่างไรก็ตาม น้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความผ่อนคลาย และไม่มีความอิจฉาริษยาแอบแฝงอยู่แม้แต่น้อย

“เอาละผู้อาวุโสทั้งหลาย วันนี้พวกเราก็ได้หารือกันมาพอสมควรแล้ว ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากจะขอพูดคุยกับอี้เฟยและอวี้โม่สักหน่อย”

เมื่อมองฉินอวี้โม่และฉินอี้เฟย ฉินเฟินก็นึกเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้  ผู้นำตระกูลสูงอายุจึงกล่าวประโยคนั้นกับเหล่าผู้อาวุโส

ผู้อาวุโสตระกูลฉินทุกคนเข้าใจดีว่าฉินเฟินต้องการจะสนทนากับหลานทั้งสองของเขาเป็นการส่วนตัว ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดคิดจะคัดค้าน ทุกคนต่างก็บอกลาแล้วพากันแยกย้าย

“อวี้โม่ อี้เฟย ตามข้ามา”

ฉินเฟินลุกขึ้นยืนและเดินนำฉินอี้เฟยและฉินอวี้โม่ไปยังห้องด้านในที่อยู่ติดกับห้องรับรอง

อย่างไรก็ตาม เมื่อทั้งสามคนปู่หลานออกเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีเสียงร้องเรียกดังขึ้นจากด้านหลังก่อนที่จะมีเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบกำลังเข้ามาใกล้

“ท่านพ่อ ได้ยินว่าเสี่ยวอวี้โม่มาที่ตระกูลรึขอรับ ?”

ที่มาของเสียงนั้นคือผู้เป็นอาของฉินอวี้โม่และฉินอี้เฟย–ฉินหยาง

ทันทีที่พวกเขาหันกลับไปก็พบร่างของบุรุษวัยกลางที่มีใบหน้าคล้ายกับฉินอี้เฟยอยู่หลายส่วนกำลังเดินตรงเข้ามาหา

เมื่อเห็นใบหน้าของฉินอวี้โม่ ฉินหยางก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจก่อนจะโผเข้ากอดหลานสาวอย่างหนักแน่นแล้วกล่าว “เสี่ยวอวี้โม่ ข้าคืออาของเจ้าเอง ฉินหยาง”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและโค้งตัวคารวะฉินหยางอย่างนอบน้อม

ฉินหยางผู้นี้เป็นคนตรงไปตรงมา เขาไม่เคยถือตัวจึงเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย

“หยางเอ๋อร์ เจ้ามาก็ดีแล้ว เราเข้าไปที่ห้องเล็กกันเถอะ ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากจะพูดคุยกับอวี้โม่และอี้เฟย”

ฉินเฟินกล่าวก่อนจะเดินนำทุกคนเข้าไปที่ห้องด้านใน

ฉินอวี้โม่และฉินอี้เฟยเดินตามฉินเฟินไปติด ๆ ฉินหยางเองก็ตามไปด้วยเช่นกัน

คุณหนูผู้พลัดพรากคาดเดาว่าเรื่องที่จะพูดคุยกันในวันนี้คงจะเกี่ยวข้องกับตัวนางอย่างแน่นอน

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด