คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 1094 พวกเรานี่ไง

อ่านนิยายจีนเรื่อง คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด ตอนที่ ตอนที่ 1094 พวกเรานี่ไง อ่านนิยายจีน.COM | อ่านนิยายจีนแปลไทย.

คิดไม่ถึงเลยว่าเถ้าแก่โรงเตี๊ยมจะปฏิเสธอย่างมีชั้นเชิงเช่นนี้ สีหน้าของหนิงยวี่ย่วนจึงบูดบึ้งยิ่งกว่าเดิม

“ใครหน้าไหนกันที่จองห้องพักที่ดีที่สุดบนชั้นบน แสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้ ! ข้าจะจ่ายเงินให้เจ้าเป็นสิบเท่าจากราคาห้องและเก็บข้าวของออกไปซะ ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็คงไม่อยากทำให้ตระกูลหนิงของเราขุ่นเคืองใจ !”

หนิงยวี่ย่วนกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่และวางท่าเย่อหยิ่งราวกับกำลังทำบุญทำทานก็ว่าได้

“เหอะ ตระกูลหนิงงั้นรึ มันคือตระกูลอะไรกัน ? สำหรับตระกูลใหญ่ของเมืองเซิ่งหลิง ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีตระกูลหนิงอะไรนี่อยู่ด้วย ?”

อวิ๋นซื่อเทียนอดกล่าวออกไปไม่ได้และน้ำเสียงของนางเจือด้วยการดูถูกถากถางอย่างชัดเจน

ตระกูลหนิงถือเป็นขุมกำลังระดับสองของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ซึ่งไม่แข็งแกร่งมากนักและน่าจะอยู่ในระดับเดียวกับสามสำนักและเก้านิกายของดินแดนมหาเทพ

สำหรับความขัดแย้งในงานประมูลครั้งใหญ่ที่มณฑลกลางคราก่อน ฉินอวี้โม่ก็คิดว่าหนิงยวี่ย่วนอาจจะลงมือทำอะไรอีก เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากนั้นนางจะไม่เห็นใครจากตระกูลหนิงอีกเลย

อย่างไรก็ตาม โลกนี้ก็ถือว่ากลมเกินไป แม้เพิ่งเดินทางมาเหยียบในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้เพียงไม่นาน พวกนางก็ได้พบกับคนของตระกูลหนิงอีกครั้ง

รูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่และสหายในตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และเป็นธรรมดาที่หนิงยวี่ย่วนจะจดจำพวกนางไม่ได้

“พวกเจ้าเป็นใครกันจึงกล้าพูดจาถากถางข้าผู้นี้ ?”

สายตาของหนิงยวี่ย่วนหันขวับไปมองที่อวิ๋นซื่อเทียนและอีกสามคนทันที เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่และอวิ๋นซื่อเทียน นางก็ชะงักไปเล็กน้อยและประกายความริษยาปรากฏในแววตาแวบหนึ่ง

นางชิงชังทุกคนที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นกว่าตน แม้ภายนอกสตรีทั้งสองอาจดูไม่แตกต่างจากนางมากนัก ทว่ากลิ่นอายของพวกนางก็มีเสน่ห์น่าหลงใหลมากจนคุณหนูตระกูลหนิงรู้สึกหม่นหมองไป หนิงยวี่ย่วนไม่ชอบความรู้สึกนี้เอาเสียเลย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไม่เคยพบหน้าคนเหล่านี้มาก่อนและพบกันที่เมืองเล็ก ๆ เช่นนี้ หนิงยวี่ย่วนจึงคิดไปว่าฉินอวี้โม่และคณะคงจะมิใช่คนที่มีสถานะสูงส่งมาจากที่ใด นางจึงเรียกคืนความมั่นใจกลับมาได้

“เจ้ากำลังมองหาผู้ที่จองห้องพักที่ดีที่สุดของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ไปมิใช่รึ ? เป็นพวกเรานี่ไง”

ฉินอวี้โม่กล่าวตอบก่อนจิบน้ำชาอย่างสบาย ๆ ด้วยท่าทางไม่สะทกสะท้าน

“เหอะ ที่แท้ก็เป็นพวกเจ้านี่เอง”

หนิงยวี่ย่วนแค่นเสียงและจ้องหน้าฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเหยียดหยามขณะหยิบถุงบรรจุหินวิญญาณจำนวนหนึ่งออกมาจากแหวนมิติและโยนไปให้ฉินอวี้โม่

“ส่วนที่เกินถือซะว่าเป็นรางวัลสำหรับพวกเจ้า ทีนี้ก็รับมันและไสหัวไปซะ !”

หลังจากกล่าวจบ นางก็หันไปกล่าวกับเถ้าแก่โรงเตี๊ยมอย่างวางท่า “เอาล่ะ พาพวกเราไปที่ห้องพักเดี๋ยวนี้ !”

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมขมวดคิ้วเล็กน้อยและมองดูถุงบรรจุหินวิญญาณที่ถูกโยนลงบนพื้นโดยไม่ขยับเขยื้อน

“เหอะ พวกข้าบอกแล้วรึว่าจะย้ายออกไป ?”

ฉินอวี้โม่แค่นเสียงและใช้เท้าเตะหินวิญญาณบนพื้นอย่างไม่ไยดี

“หมายความว่าอย่างไร ?”

สีหน้าของหนิงยวี่ย่วนในตอนนี้บิดเบี้ยวเหยเกอย่างที่สุดขณะจ้องหน้ากลุ่มคนทั้งสี่ของฉินอวี้โม่ตาเขม็ง “พวกเจ้าคิดจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลหนิงของเรางั้นรึ ?!”

“ฮ่า ๆ ๆ ขอหัวเราะหน่อยเถอะ คุณหนูของตระกูลหนิงคิดจะข่มขู่เพื่อแย่งห้องพักของคนอื่นไป ทว่าหากอีกฝ่ายไม่ยินยอมก็กลับกลายเป็นการตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลหนิงอย่างนั้นรึ ? คุณหนูตระกูลหนิงช่างวางมาดใหญ่โตจริงเชียว !”

เซิ่งเซียวกล่าววาจาถากถางเช่นกันทว่าสิ่งที่เขากล่าวล้วนเป็นความจริงทุกประการ

เมื่อได้ยินวาจาของเซิ่งเซียว ทุกคนที่นั่งรับประทานอาหารรอบบริเวณก็อดหัวเราะเบา ๆ ไม่ได้

“คงจะจริงอย่างที่ว่า ผู้คนที่หน้าด้านหน้าทนมีอยู่ในทุกหนแห่งจริง ๆ จะว่าไปแล้ว…ตระกูลหนิงก็คงมิใช่ตระกูลใหญ่จริง ๆ มิเช่นนั้นผู้ที่เป็นถึงคุณหนูใหญ่ของตระกูลก็คงจะไปพักที่จวนเจ้าเมืองแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาหาห้องพักในโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ เช่นนี้หรอก”

ฝีปากของอวิ๋นซื่อเทียนก็ราวกับเป็นคมมีดที่แหลมคมอย่างที่สุดและทุกประโยคที่กล่าวออกไปทำให้หนิงยวี่ย่วนเจ็บแค้นใจเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเจ้าเมืองฝู่ฮว๋าปฏิเสธนางอย่างแท้จริง มิเช่นนั้นนางก็คงจะไม่มาที่โรงเตี๊ยมทรุดโทรมแห่งนี้ เวลานี้ สติของนางขาดผึงทันทีและสีหน้าเกรี้ยวโกรธมากขึ้น

“พวกเจ้า…รนหาที่ตายเสียแล้ว !”

นางจ้องหน้าคนทั้งสี่ด้วยแววตาที่แสดงจิตสังหารอย่างไม่ปิดบัง

“จับตัวพวกนางไว้เดี๋ยวนี้ ข้าจะสั่งสอนให้ทุกคนได้เห็นว่าชะตากรรมของผู้ที่ทำให้คุณหนูผู้นี้ไม่พอใจจะต้องลงเอยอย่างไร !”

นางกล่าวพร้อมโบกมือเล็กน้อยเพื่อสั่งให้คนของตระกูลหนิงด้านหลังตนเข้าไปโจมตีฉินอวี้โม่และสหายทั้งสาม

“ไสหัวไปซะ !”

ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างเย็นชาในขณะที่เซิ่งเซียวโบกมือเล็กน้อยเพื่อปล่อยพลังโจมตีคนของตระกูลหนิงจนกระเด็นออกไป

คนเหล่านี้ไม่ถือว่าทรงพลังมากนักโดยส่วนใหญ่อยู่ในขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดและขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดารา ซึ่งไม่เป็นภัยต่อเซิ่งเซียวแม้แต่น้อย แม้แต่ฉินอวี้โม่ที่ดูเหมือนมีพลังอ่อนแอที่สุดก็สามารถกำจัดคนตระกูลหนิงเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องใช้ไพ่ตายด้วยซ้ำ

“บัดซบ ! บัดซบจริง ๆ !”

หนิงยวี่ย่วนโมโหสุดขีดและสบถอย่างไม่พอใจ ในฐานะคุณหนูใหญ่ของตระกูลหนิง นางไม่เคยต้องเผชิญความอัปยศอดสูเช่นนี้มาก่อน ทว่าคนแปลกหน้าเหล่านี้ริอาจดูหมิ่นนางอย่างมาก หากไม่สั่งสอนให้รู้สำนึก เกรงว่าคุณหนูตระกูลหนิงก็คงไม่อาจเอาหน้าไปไว้ที่ใดได้อีก

คราก่อนที่ฉินอวี้โม่ฉีกหน้านางในงานประมูลของตระกูลหลานที่ดินแดนมหาเทพ นางก็ยังจดจำไม่มีลืมเลือน ไม่คาดคิดว่าครานี้นางจะต้องเผชิญกับความอัปยศอดสูซ้ำสองอีก

หนิงยวี่ย่วนหยิบแส้ยาวออกมาพร้อมกับเรียกอสูรพันธสัญญาที่มีความแข็งแกร่งในระดับเทพยุทธ์สามดาราออกมา

เพียงออกแรงขยับมือเบา ๆ แส้ดังกล่าวก็ฟาดตรงไปยังจุดที่ฉินอวี้โม่นั่งอยู่

นางรู้สึกเกลียดขี้หน้าฉินอวี้โม่มาตั้งแต่ต้นและต้องการถือโอกาสนี้ในการทำลายใบหน้างดงามนั้นเสีย

สิงโตที่นางเรียกออกมาก็ตรงเข้าไปโจมตีเซิ่งเซียวและอีกสองคนด้วยสีหน้าท่าทางที่ดุดันและแววตามุ่งร้าย

“ขอบเขตเทพยุทธ์สองดารางั้นรึ ?”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและยื่นมือออกไปคว้าแส้ยาวของหนิงยวี่ย่วนไว้อย่างง่ายดาย นางไม่ได้เห็นพลังในขอบเขตเทพยุทธ์สองดาราอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ

แม้ภายนอกแล้วพลังของนางในตอนนี้จะอยู่เพียงขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดและยังไม่สามารถทะลวงพลังไปได้ ทว่าความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่แท้จริงของนางก็อยู่ในระดับที่เทียบเท่ากับขอบเขตเทพยุทธ์สองดาราขั้นสูงสุดแล้ว แม้ต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ในขอบเขตเทพยุทธ์สามดาราขั้นสูงสุด นางก็สามารถต่อสู้ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ไพ่ตาย

พรสวรรค์ของหนิงยวี่ย่วนก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีและมีความแข็งแกร่งที่มากพอสมควร อย่างไรก็ตาม หากเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นฉินอวี้โม่ นางก็ไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย

“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?!”

หนิงยวี่ย่วนออกแรงกระตุกหลายคราทว่าแส้ของตนก็ยังคงอยู่ในมือฉินอวี้โม่เช่นเดิม

นางรับรู้ได้ว่าพลังของอีกฝ่ายอยู่เพียงขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดเท่านั้น แล้วเหตุใดนางจึงแข็งแกร่งมากเพียงนี้…?

อสูรพันธสัญญาของนางก็ยังไม่ทันกระโจนเข้าถึงตัวเซิ่งเซียวด้วยซ้ำ ทว่าถูกเขาเตะกระเด็นออกไปเสียก่อน ความแข็งแกร่งของเซิ่งเซียวในตอนนี้อยู่ในขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดาราและถือเป็นระดับที่สูงพอสมควรแม้ในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ก็ตาม เป็นธรรมดาที่สิงโตของนางจะเทียบชั้นไม่ได้แม้แต่น้อย

“แม่เจ้า ขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดารา ! จอมยุทธ์ทั้งสี่คนนี้มาจากที่ใดกันแน่ ?!”

ทุกคนสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของเซิ่งเซียวเป็นครั้งแรกและขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดาราถือเป็นจอมยุทธ์ที่มากฝีมือของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่านั้นคือเซิ่งเซียวยังอายุน้อย การที่มีพรสวรรค์ที่น่าสะพรึงกลัวมากเช่นนี้ เขาจะเป็นที่จับตามองไม่ว่าจะไปที่ใด

“ขอบเขตเทพยุทธ์สี่ดาราหนึ่งคน ขอบเขตเทพยุทธ์หนึ่งดาราสองคนและอีกคนที่ดูเหมือนอยู่เพียงขอบเขตราชาเซียนขั้นสูงสุดทว่ากลับน่าหวาดหวั่นมากที่สุด เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับคนทั้งสี่คนมาก่อนเลย ?”

ไม่เพียงแต่เซิ่งเซียวเท่านั้น ทว่าพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่และอีกสองคนก็ล้วนอยู่ในระดับที่น่าทึ่ง สำหรับผู้ที่บรรลุขอบเขตเทพยุทธ์และมีพรสวรรค์อันทรงพลังตั้งแต่อายุน้อยเช่นนี้ แม้ในโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มีเพียงไม่มากเท่านั้น

เถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็แปลกใจไม่ต่างจากคนอื่น ๆ แม้สัมผัสได้ว่าฉินอวี้โม่และสหายมีความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา เขาก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นระดับที่ทรงพลังมากเช่นนี้ คนทั้งสี่มิใช่คนพื้นเมืองของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าพวกนางมาจากดินแดนระดับสูงแห่งใด…

เพี๊ยะ !

เสียงฟาดของแส้ดังขึ้นเมื่อใบหน้าของหนิงยวี่ย่วนถูกแส้ฟาดเข้าอย่างจังจนมีรอยแส้ปรากฏบนใบหน้าอย่างชัดเจน

“กรี๊ดดดด !”

นางกรีดร้องเสียงดังขณะยกมือจับใบหน้าและแทบหมดสติเนื่องจากความเจ็บปวด

คอมเม้นต์

การแสดงความเห็นถูกปิด