คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 715 สำรวจฐานทัพของฝ่ายมาร
ภายในห้อง เฟยเฟยจูงมือฉินอวี้โม่และนั่งลง
“พี่สาว ข้าทราบดีว่าท่านมาที่นี่เพื่อบุปผาแห่งแสงในร่างของข้า บุปผาแห่งความมืดก็ใกล้ที่จะเติบโตเต็มวัยแล้ว เพื่อดินแดนเทพมายา…โปรดเอาบุปผาแห่งแสงไปจากร่างข้าเถอะ”
แม้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ จะจงใจปิดบังเรื่องนี้จากนาง ทว่าเฟยเฟยก็ยังรับรู้ได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
นางทราบดีว่าบุปผาแห่งแสงมีความเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของตนเอง อย่างไรก็ตาม เพื่อผู้คนทั่วทั้งดินแดนเทพมายา นางยินดีที่จะให้ฉินอวี้โม่เอามันไป
“เฟยเฟย ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ไม่ว่าอย่างไรเราก็ไม่มีทางเอามันไป”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะและปฏิเสธทันควัน
นางและคนอื่น ๆ หารือกันและได้ข้อสรุปแล้วว่าหากไม่พบหนทางเอาบุปผาแห่งแสงออกจากร่างโดยที่ไม่ทำให้เฟยเฟยเป็นอันตราย พวกนางก็จะล้มเลิกความคิดเกี่ยวกับมันเสีย เพราะถึงอย่างไรการที่พวกนางยังมีต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์และเหล่ายอดฝีมือผู้แกร่งกล้าของดินแดนเทพมายา ฝ่ายมารก็ไม่มีทางคว้าชัยชนะได้ง่าย ๆ
“แต่ว่า…”
เฟยเฟยบีบมือฉินอวี้โม่ไว้แน่นและกล่าวแทรกขึ้นมาอีกครั้ง
“เฟยเฟย เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่ ?”
แม้เพิ่งรู้จักและใช้เวลาร่วมกันเพียงไม่นานก็เห็นได้ชัดว่าเฟยเฟยเป็นคนที่มีจิตใจแน่วแน่อย่างยิ่ง
“แน่นอน! ข้าเชื่อใจพี่สาว !”
เฟยเฟยพยักหน้าหงึกหงักทันที แน่นอนว่านางเชื่อมั่นในตัวของพี่สาวผู้นี้อย่างไม่ขัดข้อง
“เช่นนั้นก็เชื่อฟังข้าเถอะ”
ฉินอวี้โม่ลูบศีรษะเฟยเฟยอย่างแผ่วเบาด้วยความเอ็นดู เด็กสาวอายุสิบเอ็ดปีมีความสูงไม่มากนักและตอนนี้สูงเพียงประมาณหัวไหล่ของนางเท่านั้น
“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
เฟยเฟยพยักศีรษะอย่างจนปัญญา ทว่าลึก ๆ ภายในหัวใจนางก็แอบตั้งมั่นแล้วว่าหากถึงคราวจำเป็น นางจะต้องช่วยพี่สาวอวี้โม่ผู้นี้อย่างเต็มที่ที่สุด
“นายหญิง ข้านึกขึ้นได้ว่าข้าเคยเห็นวิธีการหนึ่งจากในตำราโบราณ อย่างไรก็ตาม วิธีนั้นก็อันตรายเกินไป ข้าจึงไม่ได้บอกท่านเกี่ยวกับมัน”
เสียงของซิวดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่และน้ำเสียงของมันในตอนนี้ฟังดูเคร่งขรึมจริงจังเล็กน้อย
“วิธีอะไรรึ ?”
แม้ได้ยินว่ายังมีวิธีการอื่นอยู่ ฉินอวี้โม่ก็มิได้รู้สึกดีใจแต่อย่างใด เพียงได้ฟังจากน้ำเสียงของซิว นางก็พอจะคาดเดาได้ว่า ‘วิธีการ’ ดังกล่าวจะต้องเป็นวิธีที่อันตรายมากเป็นแน่
“มันฟังดูเรียบง่ายมากทีเดียว บุปผาแห่งแสงอยู่ในร่างของเฟยเฟย ดังนั้นตราบใดที่เฟยเฟยสามารถผสมผสานกลายเป็นหนึ่งเดียวกับบุปผาแห่งแสงได้ มันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนำมันออกมาจากร่างของนางอีก อย่างไรก็ตาม การผสานเข้ากับพลังของบุปผาแห่งแสงเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่งนัก !”
ซิวก็เพียงบอกฉินอวี้โม่เกี่ยวกับวิธีการที่มันทราบมาก่อนเงียบหายไป
แท้ที่จริงแล้วบุปผาแห่งแสงก็ไม่ได้แตกต่างไปจากอสูรมายาอื่น ๆ เท่าใดนัก ตราบใดที่เฟยเฟยสามารถควบคุมบุปผาแห่งแสงในร่างของตนได้ นางก็จะใช้พลังของมันได้อย่างอิสระ ทว่าน่าเสียดายที่ไม่ว่าจะเป็นบุปผาแห่งแสงหรือบุปผาแห่งความมืด พวกมันก็ล้วนแต่ทรงพลังจนยากเกินจะควบคุม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่บุปผาแห่งแสงซ่อนตัวอยู่ในร่างและเจ้าของร่างต้องการที่จะกำราบมันนั้น หากไม่ระมัดระวัง มันก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่คนผู้นั้นจะถูกพลังมหาศาลของบุปผาแห่งแสงกลืนกินเสียแทน
ต่อให้บุปผาแห่งแสงเป็นพฤกษาศักดิ์สิทธิ์ด้านสว่างและไม่มีพลังชั่วร้าย ทว่าพลังอำนาจของมันก็มากเกินกว่าที่คนธรรมดาทั่วไปจะแบกรับได้
ฉินอวี้โม่ตระหนักถึงความจริงข้อนี้ได้ในทันทีและรีบส่ายศีรษะทันทีโดยไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับผู้ใด
นางสัมผัสได้ว่าภายในร่างกายของเฟยเฟยไม่มีความผันผวนของพลังมายาแม้แต่น้อย การได้อาศัยอยู่ในสถานที่ที่มีสภาวะพลังที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ ต่อให้ไม่ฝึกวิชาเป็นประจำ มันก็ไม่มีทางเลยที่นางจะไร้ซึ่งพลังเช่นนี้ และสาเหตุที่เฟยเฟยไม่มีพลังมายาในร่างก็คงจะเป็นเพราะว่าบุปผาแห่งแสงดูดกลืนพลังงานของนางไปจนหมด
เรียกได้ว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กสาวธรรมดาไร้ซึ่งพลังเช่นนี้จะเอาชนะหรือควบคุมบุปผาแห่งแสงได้อย่างสมบูรณ์
ฉินอวี้โม่ทราบดีว่าหากนางเอ่ยถึงวิธีการนี้ออกไป เฟยเฟยจะต้องลองเสี่ยงทำมันอย่างแน่นอน หากเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดขึ้น แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ต้องการเห็นมัน
“เชื่อใจในตัวพวกเราเถอะ ไม่เป็นไรหรอก เพียงแค่ขุมกำลังมารร้ายเหล่านั้นไม่มีทางทำอะไรพวกเราได้แน่ !”
ฉินอวี้โม่เขย่ามือเฟยเฟยเบา ๆ ทว่านางก็ไม่ทันสังเกตเห็นแสงประหลาดที่ฉายวาบในแววตาของอีกฝ่าย
“พี่อวี้โม่ ข้าจะไปที่เรือนของท่านลุงผู้นำเกาะ ในเรือนของเขามีตำรามากมายที่ข้าชอบอ่าน ข้าขอตัวไปอ่านตำราสักพักนะเจ้าคะ”
เฟยเฟยลุกขึ้นและกล่าวอำลาโดยบอกว่านางจะไปที่เรือนของอู๋ฉง
“ไปเถอะ เดินระวังด้วยล่ะ”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบรับโดยดี นางเองก็ต้องการออกไปสำรวจชายหาดรอบเกาะ หานโม่ฉือและฉินเฟิงไปที่นั่นตั้งแต่เช้าตรู่และจนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา นางจึงไม่ทราบว่าทั้งสองกำลังทำสิ่งใดกันอยู่
ณ บริเวณชายหาดติดกับผืนทะเล หานโม่ฉือ ฉินเฟิงและฉินเหยียนกำลังหารือเรื่องบางอย่างกัน
“โม่ฉือ ข้าต้องการที่จะแอบลักลอบเข้าไปในฐานทัพของฝ่ายมารเพื่อสำรวจดูสถานการณ์ของที่นั่น”
ฉินเฟิงกล่าวแสดงความคิดเห็นของตนออกมา หากไม่สามารถครอบครองบุปผาแห่งแสงมาได้ พวกเขาก็จะเสียเปรียบในสงครามการประจันหน้ากับฝ่ายมาร ไม่เคยมีผู้ใดไปเยือนฐานทัพของฝ่ายมารมาก่อนและไม่ทราบเลยว่าสถานการณ์ที่นั่นเป็นอย่างไร เพราะเหตุนั้นฉินเฟิงจึงคิดว่าหากเขาแอบลักลอบเข้าไปสังเกตการณ์ที่นั่นและเข้าใจถึงพลังอำนาจโดยรวมของอีกฝ่ายได้ มันก็จะมีส่วนช่วยได้มากในสงครามที่กำลังจะมาถึง
“ข้าจะไปด้วย”
ฉินเหยียนจับมือฉินเฟิงและกล่าวทันที ในที่สุดทั้งสองก็ได้อยู่ร่วมกันและแน่นอนว่านางไม่ต้องการพลัดพรากจากกันอีก ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อทราบดีว่าฉินเฟิงจะไปเสี่ยงอันตรายที่อาณาเขตของฝ่ายมาร นางไม่อาจทำใจปล่อยให้เขาไปเพียงลำพังได้
“ไม่ มันอันตรายเกินไป ข้าจะไปเพียงลำพัง เจ้า อวี้โม่และโม่ฉือต้องกลับไปที่นครล่าฝันก่อน”
ฉินเฟิงปฏิเสธอย่างรวดเร็วและไม่ต้องการให้ฉินเหยียนต้องเสี่ยงชีวิตไปกับตน
“ไม่ พวกฝ่ายมารทั้งลึกลับและคาดเดาไม่ได้ ความแข็งแกร่งของฮวาเฉินก็สูงกว่าท่านมากนัก กอปรกับบุปผาแห่งความมืดที่ทรงพลังเหลือเกิน หากใครจับได้ ท่านคงต้องตายแน่ พี่เฟิง…ท่านเคยบอกว่าท่านจะอยู่และตายไปด้วยกันกับข้า แล้วท่านจะทิ้งข้าไว้และออกไปเผชิญกับความเสี่ยงเพียงลำพังได้อย่างไร ?”
น้ำเสียงของฉินเหยียนในตอนนี้หนักแน่นเป็นพิเศษและนางจับมือคนรักไว้แน่นโดยไม่คิดที่จะปล่อยไป
“เหยียนเอ๋อร์ เชื่อข้าเถอะ หากเกิดอันตรายใดขึ้น ข้าจะรีบถอนตัวออกมาโดยเร็วที่สุดและไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแน่”
ฉินเฟิงแตะหลังมือของฉินเหยียนเบา ๆ ด้วยความรู้สึกทั้งจนปัญญาและซาบซึ้งใจ
“ให้ข้าไปจะดีกว่า ท่านพี่และพี่สะใภ้อยู่กับโม่เอ๋อร์เถอะ”
จู่ ๆ หานโม่ฉือซึ่งนิ่งเงียบมาตลอดก็เอ่ยขึ้นขัดจังหวะคนทั้งสอง
“ไม่ได้ เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่กำลังรอให้เจ้าและศิษย์น้องกลับไปที่นครล่าฝัน เจ้าจะตัดสินใจเช่นนี้ไม่ได้”
ครานี้ฉินเฟิงและฉินเหยียนเห็นพ้องตรงกันขณะกล่าวออกไปอย่างพร้อมเพรียง ทั้งสองไม่ต้องการให้หานโม่ฉือต้องออกไปเผชิญความเสี่ยงเช่นนี้
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่ตกอยู่ในอันตรายแน่”
หานโม่ฉือยกยิ้มมุมปากแสดงถึงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
“คนของฝ่ายมารส่วนใหญ่ฝึกฝนบ่มเพาะพลังความมืด หากเป็นท่านพี่และพี่สะใภ้ พวกท่านจะได้รับผลกระทบจากพลังชั่วร้ายนั้นแน่ ทว่าข้ามีกายโกลาหลอยู่ ข้าสามารถดูดซับพลังความมืดและแปลงพลังมายาของข้าให้กลายเป็นพลังธาตุมืดได้ชั่วคราว จากนั้นก็แอบลักลอบเข้าไปที่นั่นโดยที่ไม่มีใครจับได้ เมื่อข้าได้สืบทราบถึงพลังอำนาจโดยรวมและไพ่ตายต่าง ๆ ของฝ่ายมาร ข้าจะรีบกลับไปที่นครล่าฝันเพื่อพบกับทุกคนอีกครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ไปแล้วพบกับฮวาเฉินเข้า ด้วยความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้ ข้าเชื่อว่าข้าจะหลบหนีได้ไม่ยาก”
คำอธิบายของหานโม่ฉือทำให้คนทั้งคู่คลายกังวลขึ้นมา
“ปล่อยให้โม่ฉือไปเถอะเจ้าค่ะ”
เสียงของฉินอวี้โม่ดังขึ้นในหูของทั้งสาม เมื่อมาถึงชายหาดแห่งนี้ นางก็เข้ามาทันได้ยินบทสนทนาทั้งหมดพอดิบพอดี
ฉินอวี้โม่มั่นใจในตัวหานโม่ฉืออย่างเต็มเปี่ยม ต่อให้เขาจะเข้าไปในอาณาเขตของฝ่ายมารเพียงลำพัง เขาก็จะไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด
ในเวลานี้ เมื่อปราศจากบุปผาแห่งแสง พวกนางก็จะต้องวางแผนต่อไปโดยเร็วที่สุด และการสืบทราบพลังทั้งหมดที่ขุมกำลังมารร้ายซ่อนไว้ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนี้พวกนางจะได้เริ่มตัดสินใจวางแผนเกี่ยวกับสงครามที่จะมาถึง
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์…”
ฉินเฟิงและฉินเหยียนเอ่ยออกมาพร้อมกันทว่าไม่อาจสรรหาคำพูดใด
“ศิษย์พี่ พี่สะใภ้ ไม่ต้องห่วงหรอก เชื่อมั่นในตัวโม่ฉือก็พอ ด้วยความแข็งแกร่งของเขา ต่อให้ไปเยือนถึงถิ่นของฝ่ายมาร เขาก็จะไม่เป็นอันตราย ยิ่งไปกว่านั้น อสูรมายาของเขาทรงก็พลังมากพอที่จะเทียบชั้นกับซิวได้เลย”
ฉินอวี้โม่เดินตรงเข้ามาหาทั้งสามก่อนจับมือหานโม่ฉือไว้อย่างแผ่วเบา
“โม่ฉือ เจ้าก็ต้องระวังตัวด้วยล่ะ ! ข้าและลูก ๆ จะรอเจ้าอยู่ที่นครล่าฝัน”
นางสวมกอดบุรุษคนรักและกล่าวกำชับออกไป หากจะกล่าวว่านางไม่กังวลใจเลย นั่นก็คงจะเป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่เชื่อมั่นในตัวหานโม่ฉือและทราบดีว่าหนึ่งในพวกตนจะต้องไปที่อาณาเขตของฝ่ายมารด้วยตัวเอง นอกจากนางและหานโม่ฉือ เกรงว่าคงมีโอกาสน้อยมากที่คนอื่น ๆ จะแอบลักลอบเข้าไปที่นั่นและเอาตัวรอดออกมาได้อย่างปลอดภัย
“แน่นอน ข้าก็จะลองหาโอกาสดูเช่นกันว่าจะทำลายบุปผาแห่งความมืดได้รึไม่”
หานโม่ฉือก็โอบกอดร่างบางของฉินอวี้โม่ไว้ในอ้อมแขน อีกไม่นานสงครามชี้ชะตากับฝ่ายมารก็จะมาถึง และหลังจากที่สงครามสิ้นสุดลง เขาและนางก็จะได้ครองรักกันตลอดไปโดยไม่ต้องแยกจากกันอีกเลย
“เอาล่ะ เจ้าเอาของพวกนี้ไปด้วย เจ้าก็ทราบดีอยู่แล้วว่าจะใช้มันอย่างไร มันอาจช่วยได้บ้าง”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะก่อนหยิบแหวนมิติยื่นให้กับหานโม่ฉือ ภายในนั้นเต็มไปด้วยโอสถระดับสูงและอุปกรณ์ป้องกันตัวจำนวนหนึ่งที่ฉินอวี้โม่หลอมขึ้นมาเอง
“นายหญิง ให้ข้าไปกับนายท่านด้วยเถอะ ข้าอาจจะช่วยได้”
เสียงของเสี่ยวม่านดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่ก่อนปรากฏตัวตรงหน้าคนทั้งสี่อย่างรวดเร็ว
บุปผาแห่งความมืดก็เป็นพฤกษาประเภทหนึ่งเช่นกันและแน่นอนว่าพลับพลึงแดงจะรับรู้ได้ถึงตัวตนของมันดีกว่าใคร ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากการทะลวงพลังครั้งล่าสุดของฉินอวี้โม่ ความแข็งแกร่งของเสี่ยวม่านก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ในตอนนี้ความสามารถในการสัมผัสรับรู้ของมันก็ทรงพลังกว่าก่อนมาก หากติดตามไปกับหานโม่ฉือ อย่างน้อยที่สุดมันจะสามารถเตือนภัยล่วงหน้าได้
“ตกลง หานอวี้…เจ้าก็ไปกับโม่ฉือด้วย”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบตกลงโดยไม่คัดค้านและสั่งให้หานอวี้ติดตามไปด้วยเช่นกัน
“ได้เลยท่านแม่ ข้าจะปกป้องท่านพ่อเอง”
หานอวี้ก้าวออกมาจากคฤหาสน์เฟิงหัวและหยุดยืนข้างหานโม่ฉือพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่
“ถ้าเช่นนั้นข้าไปก่อน”
หานโม่ฉือไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด ทั้งเสี่ยวม่านและหานอวี้สามารถช่วยเขาได้อย่างแน่นอน ครานี้เขาจะลักลอบเข้าไปในฐานของฝ่ายมารซึ่งเป็นสถานที่ที่อันตรายอย่างมาก หากมีอสูรฝีมือดีทั้งสองร่วมด้วย ต่อให้ต้องเผชิญกับอันตรายใด ๆ การที่มีพวกมันก็จะช่วยให้เขาหลบหนีได้ง่ายขึ้น
จากนั้นเสี่ยวม่านและหานอวี้ก็เปลี่ยนกลายเป็นลำแสงสว่างจ้าที่พุ่งเข้าไปในแหวนมิติที่ฉินอวี้โม่หลอมให้กับหานโม่ฉือซึ่งเป็นแหวนที่สามารถกักเก็บสิ่งมีชีวิตได้
“น้องเขย ระวังตัวด้วยล่ะ”
ฉินเฟิงและฉินเหยียนก็ยังคงรู้สึกจนปัญญาเล็กน้อยทว่าไม่ยืนกรานหนักแน่นอีกต่อไป ทั้งสองกล่าวกำชับกับหานโม่ฉือและเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของเขา
“ไม่ต้องกังวล ข้าจะกลับไปที่นครล่าฝันเพื่อพบกับทุกคนโดยเร็ว”
หานโม่ฉือยิ้มบาง ๆ ก่อนร่างของเขาหายวับไปต่อหน้าทุกคนและมุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางที่ตั้งของฐานทัพฝ่ายมาร
“ศิษย์พี่และพี่สะใภ้ อย่ากังวลเกินไปเลย อสูรทั้งสองอยู่กับโม่ฉือด้วยและข้าจะทราบสถานการณ์ของเขาได้ทุกเมื่อ ก่อนเขาจะไปข้าก็ได้มอบอุปกรณ์สื่อสารให้เขาไปด้วย หากเกิดเรื่องใด เราจะไปช่วยได้ทันเวลา”
ฉินอวี้โม่พยายามปิดบังความกังวลในแววตาและคลี่ยิ้มให้กับทั้งสองเพื่อไม่ให้พวกเขากังวลใจ
“นี่เป็นเพราะเรายังไม่แข็งแกร่งพอ…”
ฉินเฟิงกล่าวอย่างจนปัญญา เดิมทีเขาวางแผนที่จะครองรักกับฉินเหยียนอย่างมีความสุขเช่นคู่รักธรรมดา ทว่าตอนนี้เขาต้องการพัฒนาพลังความแข็งแกร่งของตน เขาตัดสินใจกับตัวเองแล้วว่าเมื่อสะสางความวุ่นวายในดินแดนเทพมายาเสร็จสิ้น เขาจะหาทางไปที่ดินแดนระดับสูงเพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองต่อไป
“อวี้โม่ ท่าไม่ดีแล้ว ! รีบเข้ามาดูเร็ว”
ขณะทั้งสามกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงตื่นตระหนกของอู๋ฉงก็ดังขึ้น
คอมเม้นต์