คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด – ตอนที่ 1137 เฟยอวิ๋น-จ้าววิหารเมฆาโบยบิน
เฟยอวิ๋น—จ้าววิหารเมฆาโบยบินถือว่าเป็นหนึ่งในตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่ของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
เขาก่อตั้งวิหารเมฆาโบยบินขึ้นมาด้วยมือของตัวเองและทำให้ขุมกำลังของตนกลายเป็นขุมกำลังที่ทรงพลังที่สุดเป็นอันดับสองของโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์โดยที่เป็นรองเพียงแค่ตระกูลหมิงเท่านั้น ในอดีตครานั้นที่ตระกูลหมิงบุกโจมตีพวกเขาอย่างอุกอาจ มันก็เป็นเพราะความแข็งแกร่งที่เหนือธรรมชาติของเฟยอวิ๋นนี่เองที่ทำให้ผู้อาวุโสของตระกูลหมิงล้มตายไปสองคนและทำให้สถานการณ์คลี่คลายในที่สุด
แม้แต่ผู้นำตระกูลหมิงที่ทรงพลังอย่างยิ่งก็ยังต้องหวาดหวั่นต่อเฟยอวิ๋นผู้นี้ และเป็นเพราะการดำรงอยู่ของเขานี่เองที่ทำให้ตระกูลหมิงไม่กล้าทำสิ่งใดบุ่มบ่ามตลอดหลายปีที่ผ่านมา
มิฉะนั้น เกรงว่าทั่วทั้งโลกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์คงตกอยู่ในกำมือของตระกูลหมิงไปนานแล้ว
เมื่อก้าวเข้ามาในห้องโถง ฉินอวี้โม่ก็พบกับบุรุษหนุ่มที่ดูเหมือนมีอายุอยู่ในช่วงยี่สิบห้าถึงยี่สิบหกปีซึ่งนั่งอยู่ตรงกลางห้องโถง เขาสวมอาภรณ์สีดำสนิทโดยที่คิ้วแหลมคมและดวงตาเป็นประกายคู่งามนั้นเสริมใบหน้าของเขาให้ดูหล่อเหลาชวนมองยิ่งนัก อีกทั้งร่างของเขาก็ยังแผ่กลิ่นอายความเยือกเย็นบางอย่างที่ทำให้หลายคนไม่กล้าเข้าใกล้
ฉินอวี้โม่ไม่อาจมองทะลุถึงระดับความแข็งแกร่งของเขาได้เลย ดูเหมือนว่าพลังของเขาคงจะข้ามผ่านขอบเขตเทพสวรรค์ไปแล้วและอยู่ในขอบเขตที่นางยังไม่อาจเข้าใจได้ในตอนนี้
“คารวะจ้าววิหารเมฆาโบยบินเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ประกบกำปั้นทั้งสองและก้มศีรษะให้กับเฟยอวิ๋นเล็กน้อย ใบหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ และไม่มีร่องรอยของความหวาดหวั่นหรือความกังวลใจให้เห็น
“นั่งก่อนสิ”
เฟยอวิ๋นเพียงมองฉินอวี้โม่ครู่เดียวก่อนละสายตาไป เขาชี้ไปยังเก้าอี้ว่างถัดจากตนและเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลง
“เจ้ากลับไปทำหน้าที่ต่อเถอะ”
เขาโบกมืออีกครั้งเพื่อให้เฟยปู้กลับออกไป
หลังจากที่ผู้พิทักษ์เฟยปู้กลับออกไป ทั้งห้องโถงกว้างก็เหลือเพียงฉินอวี้โม่และเฟยอวิ๋นเพียงสองคนเท่านั้น
“เจ้ามีผลึกแสงตะวันอยู่จริง ๆ รึ ?”
เฟยอวิ๋นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา นี่คือตัวตนของเขาซึ่งเงียบขรึม เฉยเมยและดูห่างไกลไม่สุงสิงกับผู้ใด เมื่ออยู่ตรงหน้าฉินอวี้โม่ สีหน้าของเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลงหรือแสดงอารมณ์แม้แต่น้อย
“ท่านจ้าววิหารคงจะทราบถึงจุดประสงค์ที่ข้ามาที่นี่อยู่แล้ว เราต้องการที่จะผลึกกำลังร่วมกับท่านเพื่อรับมือกับตระกูลหมิงด้วยกัน”
ฉินอวี้โม่หยิบผลึกแสงตะวันออกมาอย่างไม่ลังเลและวางลงด้านข้างขณะกล่าวจุดประสงค์อย่างชัดเจน
“ถึงอย่างไรเราก็มิใช่คู่มือของตระกูลหมิง มันไม่มีประโยชน์หรอก”
เฟยอวิ๋นกล่าวเพียงสั้น ๆ ทว่าแสดงถึงทัศนคติของเขาได้อย่างชัดเจน
“ตระกูลหมิงทรงพลังมากถึงเพียงนั้นเลยหรือเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่ไม่นึกสงสัยในวาจาของเฟยอวิ๋นและขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย
เห็นทีตระกูลหมิงจะทรงพลังกว่าที่พวกนางคิดไว้มากนัก และมันก็มากพอที่จะทำให้จอมยุทธ์ที่แกร่งกล้าอย่างเฟยอวิ๋นหวั่นใจได้
“ทรงพลังยิ่งกว่าที่เจ้าคิดไว้”
เฟยอวิ๋นพยักศีรษะเบา ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชายิ่งกว่าเดิม
ความยำเกรงที่ตระกูลหมิงมีต่อวิหารเมฆาโบยบินเป็นเพราะตัวเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น ทว่าสมาชิกคนอื่น ๆ ของวิหารไม่อยู่ในสายตาของตระกูลหมิงแม้แต่น้อย
เรียกได้ว่าพวกเขาเป็นขุมกำลังที่สามารถทำลายตระกูลเซี่ยและตระกูลหูได้โดยที่แทบไม่ต้องออกแรงด้วยซ้ำ
เฟยอวิ๋นทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองเซิ่งหลิงเป็นอย่างดีและสามารถคาดเดาถึงจุดประสงค์ของฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ได้ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ต้องการเข้าร่วมในสิ่งที่ยังไม่มั่นใจและไม่แน่นอนเช่นนี้
ตระกูลหมิงทรงพลังเกินกว่าที่พวกเขาจะรับมือได้และตัวเขาก็ไม่มีทางที่จะจัดการทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว เมื่อเขาเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย ทั้งวิหารเมฆาโบยบินก็จะต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยเช่นกัน และนี่คือสาเหตุที่เขาสั่งให้คนเชิญฉินอวี้โม่และสหายกลับไป
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่มีผลึกแสงตะวันที่เขาต้องการ ต่อให้เขาจะทราบว่าการเชิญฉินอวี้โม่เข้ามาหมายความว่านางอาจโน้มน้าวใจให้วิหารเมฆาโบยบินผลึกกำลังเพื่อต่อสู้กับตระกูลหมิงได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม เพื่อผลึกแสงตะวันที่ตามหามานาน เขาก็จำต้องเชิญฉินอวี้โม่เข้ามา ยิ่งไปกว่านั้น การได้ผลึกแสงตะวันมา บางทีพวกเขาก็อาจจะมีโอกาสชนะตระกูลหมิงอยู่เหมือนกัน เพียงแต่เขาไม่แสดงออกทางสีหน้าเท่านั้น
“ต่อให้เป็นเช่นนั้น เราก็ต้องลองเสี่ยงดูสักตั้ง การอยู่เฉยและเฝ้ารอความตายมิใช่วิถีชีวิตของข้า !”
สีหน้าของฉินอวี้โม่กลับสู่ปกติอีกครั้ง ไม่ว่าตระกูลหมิงจะแข็งแกร่งเพียงใด พวกเขาก็ต้องมีจุดอ่อนบางอย่างอยู่ ตราบใดที่เตรียมความพร้อมเป็นอย่างดี นางเชื่อว่ายังมีความเป็นไปได้ที่จะเอาชนะอีกฝ่าย
“แม่สาวน้อย ส่งผลึกแสงตะวันนั่นมานี่”
เขาชี้ไปที่ผลึกแสงตะวันบนโต๊ะและกล่าวเพื่อให้ฉินอวี้โม่ส่งมันมาให้กับตน
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบา ๆ และโบกมือเล็กน้อยก่อนผลึกดังกล่าวปรากฏในมือของเฟยอวิ๋น
“ความบริสุทธิ์ของผลึกแสงตะวันก้อนนี้ถือว่าไม่เลวทีเดียว”
เขาตรวจดูผลึกในมืออย่างพินิจพิจารณาก่อนวางลงและกล่าวขึ้นเบา ๆ
“แม่สาวน้อย วิหารเมฆาโบยบินของเราจะร่วมมือด้วย อย่างไรก็ตาม ข้าต้องรอจนกว่าจะศึกษาผลึกแสงตะวันให้เสร็จสิ้นเสียก่อน ในเมื่อมีมันแล้ว เชื่อว่าความแข็งแกร่งของข้าจะพัฒนาขึ้นพอสมควร เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะรับมือกับเจ้าแก่หนังเหนียวของตระกูลหมิงได้และมีโอกาสชนะประมาณสี่ในสิบส่วน”
เดิมทีเขาไม่ต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ทว่าการมีผลึกแสงตะวันทำให้เขาเปลี่ยนใจในที่สุด
ผลึกแสงตะวันสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งให้เขาได้ในระดับหนึ่ง เขาในตอนนี้มีโอกาสที่จะเอาชนะผู้นำตระกูลหมิงเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้น ทว่าการใช้ผลึกแสงตะวันจะช่วยให้เขามั่นใจได้ประมาณสี่ในสิบส่วน ผู้ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในตระกูลหมิงก็คือผู้นำตระกูล แม้คนอื่น ๆ ในตระกูลจะแข็งแกร่งมากเช่นกัน ทว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคนเหล่านั้นก็อยู่เพียงขอบเขตเทพสวรรค์แปดดาราเท่านั้น ในเมื่อฉินอวี้โม่และตระกูลเยี่ยผลึกกำลังร่วมมือกับขุมกำลังใหญ่อื่น ๆ แล้ว พวกนางก็คงจะมีความมั่นใจพอสมควรในการที่จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ในขอบเขตเทพสวรรค์แปดดารา
“นั่นเป็นเรื่องที่ดี”
เมื่อได้ยินคำตอบของเฟยอวิ๋น ฉินอวี้โม่ก็ไม่แปลกใจแต่อย่างใด
หากไม่มีผลึกแสงตะวัน นางตระหนักว่าแทบไม่มีทางเลยที่จะโน้มน้าวใจเฟยอวิ๋นได้สำเร็จทว่าตอนนี้การที่เขาตอบตกลง นั่นก็หมายความว่าผลึกแสงตะวันดังกล่าวมีส่วนช่วยเขาได้มาก การที่ได้รับความร่วมมือจากวิหารเมฆาโบยบินจะทำให้พวกนางมีโอกาสในการชนะตระกูลหมิงได้มากยิ่งขึ้น
“วิหารโบยบินของเรายังอ่อนแอกว่าตระกูลหมิงมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านจำนวนคนที่เทียบกับตระกูลหมิงไม่ได้เลย ต่อให้สามตระกูลใหญ่ของเมืองเซิ่งหลิงร่วมด้วย เราก็ยังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เราไม่ทราบว่าตระกูลหมิงมีตระกูลใดเป็นพวกหรือบริวารบ้าง เพราะฉะนั้นช่วงนี้อย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่ามจะดีกว่า”
เมื่อวิเคราะห์ถึงความแตกต่างระหว่างฝ่ายของตนและฝ่ายตระกูลหมิง เขาก็อดกล่าวเตือนฉินอวี้โม่ไม่ได้
“ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ เรายังไม่คิดจะลงมือในเวลาใกล้ ๆ นี้ ตอนนี้คนของข้าก็กำลังช่วยประคองสถานการณ์เอาไว้ และคาดว่าภายในหนึ่งถึงสองปีนี้ ตระกูลหมิงก็คงจะไม่เคลื่อนไหวเช่นกัน ช่วงหนึ่งถึงสองปีน่าจะเพียงพอที่เราจะเตรียมความพร้อมได้”
ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มทว่าเริ่มรู้สึกว่าเฟยอวิ๋นไม่ได้เย็นชาดังที่แสดงออกภายนอก
“ช่วงนี้เจ้าเที่ยวชมไปรอบ ๆ วิหารเมฆาโบยบินของเราได้ตามสบาย ข้าต้องสกัดพลังงานของผลึกแสงตะวันโดยเร็วที่สุดและลองดูว่าข้าจะทะลวงพลังได้รึไม่”
หลังจากกล่าวทิ้งท้าย ร่างของเฟยอวิ๋นก็หายวับไปตรงหน้าฉินอวี้โม่โดยที่ปล่อยให้นางใช้เวลาได้ตามความต้องการ
ฉินอวี้โม่ถึงกับชะงักไปชั่วขณะทันที จ้าววิหารเมฆาโบยบินเป็นบุคคลที่มีโลกส่วนตัวสูงจริง ๆ…
เมื่อเป็นเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในห้องโถง ฉินอวี้โม่ก็ไม่อยู่ต่อนานนักก่อนเดินออกไปข้างนอก
เวลานี้รอบบริเวณเรือนของเฟยอวิ๋นไม่มีผู้ใดปรากฏให้เห็น เห็นทีคนของวิหารเมฆาโบยบินจะไม่ได้หวาดระแวงอะไรนางและไม่กังวลว่านางจะมีเจตนาร้ายใด
หลังออกจากบริเวณเรือนหลังใหญ่ของเฟยอวิ๋น ฉินอวี้โม่ก็ท่องไปตามท้องถนนก่อนได้พบกับผู้คนที่เดินสัญจรผ่านไปผ่านมา
“ท่านจอมยุทธ์…ท่านคือจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ใช่หรือไม่เจ้าคะ ?”
สตรีนางหนึ่งที่อยู่ในช่วงวัยยี่สิบปีเดินเข้ามาทักทายฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มและเอ่ยเรียกชื่อของนาง
“ท่านเป็นใครรึ ?”
ฉินอวี้โม่มองสตรีตรงหน้าและต้องรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อพบว่านางมีพลังอยู่ในขอบเขตเทพสวรรค์สามดารา
วิหารเมฆาโบยบินเป็นขุมกำลังที่เป็นรองเพียงตระกูลหมิงอย่างแท้จริง รากฐานและภูมิหลังของพวกเขาเป็นสิ่งที่ทั้งสามตระกูลใหญ่ของเมืองเซิ่งหลิงมิอาจจะเทียบชั้นได้
“เรียกข้าว่าเฟยโม่ได้เลยเจ้าค่ะ ผู้พิทักษ์เฟยปู้สั่งให้ข้ามารอต้อนรับท่านอยู่ที่นี่”
เฟยโม่แนะนำตัวสั้น ๆ ก่อนกล่าวต่อ “ข้าจะพาท่านไปท่องชมรอบ ๆ วิหารเมฆาโบยบินของเราเอง”
ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและเดินตามเฟยโม่ไปชมรอบ ๆ เมือง…
ในขณะเดียวกัน ภายในดินแดนอีกแห่ง หานโม่ฉือกำลังถูกไล่ล่าโดยคนกลุ่มหนึ่ง
คอมเม้นต์